ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนา และจากผลกระทบดังกล่าวจะเห็นได้ชัดว่าส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำและกลุ่มสินค้าโลหะมีค่า
แต่อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญที่กำลังจะมาถึง คือ “การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” โดยผลโพลล์ล่าสุดสะท้อนว่าเราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจากภาพประกอบด้านล่างจะเห็นได้ว่า “นายโจ ไบเดน” (เส้นสีน้ำเงิน) มีคะแนนทิ้งห่าง “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันประมาณ 9%
หาก “นายไบเดน” ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจและตลาดทองคำ?
นายอาคาดิอุส ซีรอน นักวิเคราะห์จาก Kitco ระบุว่า ถึงแม้ตัวเขาไม่สนับสนุนนโยบายทางการค้าของนายทรัมป์ แต่เขาก็ไม่ได้พึงพอใจต่อนโยบายเศรษฐกิจของนายไบเดน ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของเขาจะมีการใช้จ่ายทางรัฐบาลมากถึง 7 แสนล้านเหรียญ เพื่อใช้ในงานวิจัยและการริเริ่มพัฒนาด้านเทคโนโลยีและพลังงานครั้งใหม่ รวมทั้งสินค้าและการบริการของสหรัฐฯ
ขณะที่แผนภาษีของนายไบเดน ก็อาจมีการเพิ่มภาษีในกลุ่มภาคบริษัทและคนรวย และภาพรวมตลาดหุ้นดูจะไม่พึงพอใจต่อการปรับขึ้นภาษี โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเปราะบาง ดังนั้น ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลงได้ หาก “ไบเดนเป็นฝ่ายชนะ”
อย่างไรก็ดี กลุ่มนักลงทุนโดยรวมก็ดูจะยังไม่ได้กังวลต่อโพลล์ที่สะท้อนว่านายไบเดนมีโอกาสมากขึ้น เพราะอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.นี้ และตลาดอาจรอจนกว่าจะทราบผลลัพธ์ที่แท้จริงว่าใครจะชนะ
ความเป็นไปได้เกี่ยวกับนายไบเดน นักลงทุนอาจรอดูข้อเสนอต่างๆของเขาหลังจากที่ได้รับเลือกตั้ง หรืออาจให้ความสนใจมากขึ้นต่อนโยบายต่างๆของเขา โดยเฉพาะนโยบายทางการค้าของนายไบเดน ที่มีท่าทีกีดกันทางการค้าน้อยกว่านโยบายของนายทรัมป์ และเขาอาจสิ้นสุด Trade War กับจีน รวมถึงประเทศอื่นๆได้ ที่เป็นประเด็นที่ตลาดกังวลอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว
ความเป็นไปด้ของผลกระทบจาก “ชัยชนะของไบเดน” ต่อตลาด “หุ้น” และ “ทองคำ” นั้น ยังไม่ชัดเจน
ตามหลักทฤษฎีแล้วโดยองค์รวมคาดตลาดหุ้นจะตอบรับในทิศทางขาขึ้น ขณะที่ตลาดทองคำปรับตัวลดลง โดยอ้างอิงจากกราฟด้านล่างในช่วงหลังจากที่ “นายทรัมป์ ได้รับชัยชนะเมื่อปี 2016” ดังนั้น เราจึงคาดว่าอาจเกิดการกลับด้านกันหาก “ทรัมป์” พ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งครั้งนี้
ทั้งนี้ ก็ยังดูจะง่ายเกินไปที่จะให้เหตุผลเกี่ยวกับตลาดหุ้นและทองคำหาก “ไบเดน” เป็นฝ่ายชนะ เพราะมีโอกาสที่จะเห็นตลาดปรับตัวขึ้นได้ หรืออาจเกิดความผันผวนขึ้นในระยะสั้นๆ ก่อนที่จะกลับมาเป็นขาขึ้น แต่หลังจากนั้น “นายไบเดน” ก็จะกลายเป็นเรื่องที่นักลงทุนยอมรับได้
อย่างไรก็ดี นายไบเดน ไม่ได้เป็นคนสุดโต่งอย่าง นายเบอร์นีย์ แซนเดอร์ส หรือนางเอลิซาเบธ วอร์เรน และนายไบเดนก็ดูจะมีมุมมองที่เป็นจริงมากกว่านายทรัมป์ ดังนั้น ที่ผ่านมาๆจะเห็นได้ว่าตลาดการเงินก็สามารถเติบโตได้ดีภายใต้การนำของนายทรัมป์, โอบามา หรือในช่วงที่นายไบเดนเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สรุปได้ว่า ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ “เราก็ไม่คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางการผ่อนคลายทางการเงินและนโยบายทางการเงินต่างๆ” เนื่องจากแนวโน้มหลักของเศรษฐกิจนั้นยังไม่แข็งแรงจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่จากวิกฤตไวรัสโคโรนา โดยนักลงทุนต้องตระหนักถึงการดำเนินนโยบายอันสำคัญ และหากไม่มีนโยบายที่สำคัญกว่าที่ผ่านมา ก็จะไม่ส่งผลใดๆต่อตลาดหุ้นและทองคำมากนัก
และถึงแม้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ เฟดก็จะไม่ยกเลิกท่าทีผ่อนคลายทางการเงิน รวมทั้งทั้ง “นายไบเดน” หรือ “นายทรัมป์” ก็ต้องเผชิญกับการใช้จ่ายจำนวนมหาศาลของรัฐบาลและการใช้แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ
ที่มา: Kitco