เหลือเวลาเพียงอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาดูกันว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของตลาดทองคำขาขึ้นอย่างไร?
ไม่ว่า “ทรัมป์” หรือ “ไบเดน” ชนะ ก็จะไม่ใช้นโยบายที่หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า
ภายใต้เงื่อนไขนี้ เป็นบวกต่อราคาทอง ท่ามกลางการใช้อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำและการอัดฉีดเม็ดเงิน ประกอบกับยังมีความตึงเครียดทางการค้าระดับนานาประเทศอยู่ โดยเฉพาะกับจีน เหตุความไม่สงบต่างๆ และการับปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อ รวมถึงโอกาสที่จะเห็นการกลับมาระบาดอีกครั้งของไวรัสโคโรนา
ประเด็นทั้งหมดนี้จะสร้างความผันผวนให้แก่ทองคำ และผู้จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปีหน้า จึงคาดว่าน่าจะเห็นราคาทองคำปรับขึ้นทำสูงสุดของปีนี้ได้แถว 2,089 เหรียญ แม้ว่าในเวลานี้จะเคลื่อนไหวแถว 1,900 เหรียญก็ตาม
ในความเป็นจริงนั้น ทองคำก็ยังมีโอกาสขึ้นได้ต่อแต่ก็มีการสะสมพลังหลังจากที่ปรับขึ้นไปในช่วงก่อนหน้า
เปรียบเทียบตลาดทองคำปี 2000 จะเห็นได้ว่าราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวแบบสะสมพลังประมาณ 12 – 18 เดือน หลังจากที่ปรับตัวขึ้นได้อย่างมาก และในเวลานี้อาจจะเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันหรืออาจต้องรอการปรับขึ้นของทองคำอีกครั้งและเราเชื่อว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
จะเกิดอะไรขึ้นกับดอลลาร์สำหรับชัยชนะของ “นายทรัมป์” หรือ “นายไบเดน”
นักวิเคราะห์จาก MoneyWeek ยังไม่คิดว่าใครจะใช้นโยบายให้ดอลลาร์แข็งค่าได้ ดังนั้น จึงมีโอกาสเห็นดอลลาร์ปรับอ่อนค่า
โดยดัชนีดอลลาร์จากระดับปัจจุบันที่ 92 จุด อาจกลับไปทำสูงสุดได้แถว 103 จุด (ภายใต้การบริหารของนายทรัมป์และนายโอบามา)
แต่ภาพรวมมีโอกาสเห็นดอลลาร์อ่อนค่ามาที่ 80 จุด หรือ 70 จุดได้ ก่อนที่จะกลับเหนือ 100 จุดอีกครั้ง
ประวัติศาสตร์ราคาทองคำช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
- สมัย “ปธน. ทรัมป์” เมื่อปี 2016
ทองคำปรับตัวลงจากระดับ 1,300 เหรียญ มาทำต่ำสุดแถว1,100 เหรียญ แต่หลังจากนั้นภายในการดำเนินการปีแรก ทองคำก็ปรับขึ้นได้ประมาณ 200 เหรียญ
โดยเริ่มปี 2017 ที่ระดับ 1,150 เหรียญ และจบปีที่ 1,350 เหรียญ
- สมัย “ปธน. โอบามา”
สภาวะแวดล้อมในเวลานั้นค่อนข้างแตกต่างออกไป โดยปีแรกทองคำตอบรับในทิศทางขาขึ้นจากการรับตำแหน่งของ “โอบามา” ในสมัยแรก และมีการทำ All-Time High หลังจากนั้นก็ปรับตัวลงเมื่อ “โอบามา” ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยที่ 2
- สมัย “ปธน. บุช”
ภายใต้การดำรงตำแหน่งของ “บุช” ทองคำช่วง 8 ปีนั้นเป็น “ทิศทางขาขึ้น” จากแถวระดับ 300 เหรียญ มาที่ระดับ 900 เหรียญ แต่ในช่วงที่ “บุช” ได้รับตำแหน่งสมัยที่สองก็เห็นทองคำอ่อนตัวลงมาบ้างประมาณ 10%
- สมัย “ปธน. บิล คลินตัน”
ครั้งแรกที่ได้รับเลือก “ทองลง” แต่ในช่วงการดำรงตำแหน่งปีแรกนั้น ก็เห็นได้ถึงทองคำค่อยๆปรับตัวขึ้น ขณะที่การดำรงสมัยที่ 2 ของเขาส่งผลลบต่อทองคำ และจะเห็นได้ว่าทองคำทำ “All-Time Lows ที่ระดับ 250 เหรียญ”
- สมัย “ปธน. จอร์จ บุช”
ทองคำปรับตัวลง
- สมัย “ปธน. โรนัลด์ เรแกน”
ในช่วงการดำรงตำแหน่งครั้งแรกของเขาภาคการลงทุนดูจะไปในทิศทางที่ไม่สดใสนัก โดยจะเห็นได้จากราคาทองคำที่ปรับตัวลงจาก 600 เหรียญ มาทำต่ำสุดกว่า 300 เหรียญ
แต่ทองคำค่อนข้างปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2
จะเห็นได้ว่า การดำรงตำแหน่งในสมัยแรกและสมัยที่ 2 ทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ไม่มีแพทเทิร์นที่ตายตัว มีเพียงแรงเทขายที่เข้ามาจากผลการเลือกตั้งระหว่างเดือนพ.ย. - ม.ค. ก่อนที่จะมีการปรับตัวขึ้นได้
สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่า “นายทรัมป์” จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และนายไบเดน ก็ดูจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยสำหรับผลการเลือกตั้งของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตเมื่อปี 2016 เช่นกัน
ในท้ายที่สุดนี้ ไม่คิดว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนทิศทางขาขึ้นของตลาดทองคำในเวลานี้จากกรณีที่ว่าใครเป็นผู้ชนะ และเชื่อว่า ทองคำในช่วงแรกจะตอบรับด้วยการเผชิญแรงเทขายจากการทราบผลผู้ชนะ แต่ก็ไม่ใช้เวลานานนัก และแรงเทขายที่เกิดจะเป็นลักษณะสะสมพลังในตลาดขาขึ้น (Consolidation-in-a-bull market) มากกว่าที่จะเจอแรงกดัดนเป็นขาลง
บทสรุป: ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรับฯ ก็จะไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ตลาดมากนัก
ที่มา: MoneyWeek