หลังจากที่ตลอด 4 ปีมานี้ ชาวอเมริกาอยู่ในยุคแห่ง “America First” ก็ทำให้กลุ่มผู้จัดการการเงินบางส่วนในสหรัฐฯทำการมองหาการลงทุนจากผู้ชนะศึกเลือกตั้งในครั้งนี้ และหลายๆคนก็ค่อนข้างมั่นใจว่าประเทศอื่นๆในโลกน่าจะกลับมาสดใสมากขึ้น
โพลล์หลายสำนัก บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “นายโจ ไบเดน” จะคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯมาครอบครองได้ ซึ่งนักลงทุนในกลุ่มนี้มองว่า “ตลาดเกิดใหม่” หรือ “ตลาดหุ้นในยุโรป” ดูจะได้รับอานิสงส์ที่ดีจากชัยชนะของพรรคเดโมแครต ขณะเดียวกันก็มีท่าทีระมัดระวังต่อตลาดหุ้นบางแห่งเช่น “รัสเซีย” ที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ตลาดจับตานโยบายหลัก “ไบเดน”
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ: เพื่อสนับสนุนการเติบโต
- นโยบายการเพิ่มภาษีบริษัท: ที่อาจทำให้เกิดเม็ดเงินไหลออกจากกลุ่มบริษัทใน S&P500 เข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากวัคซีน Covid-19 กลายมาเป็นความพร้อมใช้งานได้ในช่วงต้นเดือนหน้า
- นโยบายด้านการค้า - ต่างประเทศ: อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า แต่เป็นผลบวกต่อ “ตลาดเกิดใหม่”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนด้านการจัดการสินทรัพย์ของ NN IP ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน เป็นสิ่งสำคัญที่ตลาดให้ความสำคัญ โดยมองว่า
- ไบเดนจะไม่สร้างแรงตึงเครียดกับจีนเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ลดท่าทีที่เข้มงวดกับจีน
จึงคาดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะมีเสถียรภาพมากว่าจะเกิดความตึงเครียดและ “เป็นผลดี” ต่อตลาดต่างๆในโลก
นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจกับ หลักทรัพย์ของภาคธุรกิจในยุโรป ที่ดูจะได้รับแรงหนุนที่ดีต่อทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการสนับสนุนค่าใช้จ่ายของไบเดนช่วยหนุน “อัตราผลตอบแทนพันธบัตร” โดยเฉพาะหุ้นหรือหลักทรัพย์ของบริษัทน้ำมัน, รถยนต์, ภาคธนาคาร ที่ดูจะขยายตัวได้ดีที่สุดในช่วงที่อัตราผลตอบแทนปรับขึ้น
ด้านตลาดต่างๆของสหรัฐฯ ดูจะตอบรับได้ดีกับการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
นักวิเคราะห์บางราย คาดว่า ความเป็นไปได้ที่นายไบเดนจะชนะจะทำให้ “รูปเกมเปลี่ยนไปทางด้านความสัมพันธ์กับยุโรป” ในเชิงภูมิศาสตร์ทางการเมืองและความมั่นคง
ดังนั้น กลุ่มผู้ส่งออกในยุโรปน่าจะได้รับผลดีจากผลลัพธ์ดังกล่าว ตั้งแต่อิตาลี ตลอดจนฝรั่งเศส เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในเยอรมนี
ดัชนี MSCI ของยุโรปในกลุ่มยานยนต์ จะเผชิญกับความผันผวนน้อยกว่าจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของนายไบเดน และน่าจะเห็นหุ้นในภูมิภาคยุโรปปรับตัวขึ้นได้กว่า 2 เท่าตั้งแต่มิ.ย. เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ยังคงมีความไม่แน่นอนอย่างมากสำหรับนักลงทุน เนื่องจากโพลล์เลือกตั้งอาจไม่เหมือนกับ “ผลคะแนนในวันเลือกตั้ง”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจาก Stanhope Capital ระบุว่า ถ้านายไบเดนชนะก็จะเป็นบวกต่อตลาดเอเชียเช่นกัน แต่ตลาดหุ้นเอเชียก็น่าจะมีความ “ยืดหยุ่นเพียงพอ” หากนายทรัมป์ชนะ
หาก “ทรัมป์” ชนะ: จะเพิ่มเม็ดเงินให้แก่สหรัฐฯมากขึ้น แต่หุ้นเอเชียก็จะได้รับประโยชน์ร่วมด้วย ขณะที่ภาคการลงทุนของบริษัทต่างๆในสหรัฐฯ ก็จะได้รับอานิสงส์ต่อจากการปรับลดภาษีของเขา
หาก “ไบเดน” ชนะ: น่าจะกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ก็เอื้อประโยชน์ให้แก่ตลดาหุ้นเอเชีย
AMERICA FIRST
นโยบาย America First มักจะถูกตำหนิเนื่องด้วยการลงทุนฝั่งขาออกของสหรัฐฯทำได้ยาก
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (FDI) สะท้อนว่า สหรัฐฯมีการลงทุนโดยตรงต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพียง 9.4 หมื่นล้านเหรียญในปีที่แล้ว เรียกว่าน้อยกว่าครึ่งของยอดรวมทั้งหมดในปี 2015
โดยเม็ดเงินสุทธิจากฝั่งยุโรปเพิ่มมาเพียง 8.3 พันล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับ 1.52 แสนล้านเหรียญในปี 2015
ยอดการลงทุนของสหรัฐฯในตลาดหุ้นต่างประเทศและพันธบัตรก็ปรับตัวลดลง
สถาบันที่ปรึกษาด้านการเงิน eVestment เผยข้อมูลช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า สหรัฐฯเผชิญเม็ดเงินไหลออกจากตลาดต่างๆดังนี้
- ตลาดหุ้นยุโรปสูงกว่า 2.3 หมื่นล้านเหรียญ
- ตลาดหุ้นเอเชียสูงกว่า 2.1 หมื่นล้านเหรียญ
- ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่กว่า 2.0 หมื่นล้านเหรียญ
หัวหน้าฝ่ายตลาดเกิดใหม่จาก Citigroup Inc คาดว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมายังสหรัฐฯจะฟื้นตัวได้ หากว่า Trade War สงบลง ถึงแม้ว่าไบเดนจะมีท่าทีที่เข้มงวดต่อจีน แต่ก็เป็นแนวโน้มที่น้อยกว่านายทรัมป์ และทำให้นักลงทุนไม่ต้องตื่นมาคอยเช็คทวิตเตอร์ว่าจะมีอะไรสร้างความกังวลต่อการเทรดค่าเงินหยวนอีกด้วย
EMERGING WINNERS
ภาพรวมนักลงทุน ระบุว่า ชัยชนะของนายไบเดน จะให้ประโยชน์อย่างมากแก่ตลาดเกิดใหม่ เช่นเดียวกับยุคที่เดโมแครตได้รับเลือกในสมัยก่อน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าและท่าทีกดดันภาคบริษัทที่น้อยกว่า “ทรัมป์” ก็ดูจะส่งผลบวกด้วยเช่นกัน และทำให้มีการกลับมาดำเนินภาคธุรกิจในสหรัฐฯเพิ่มขึ้น รวมถึงแถบละตินอเมริกา โดยเฉพาะเม็กซิโก ที่น่าจะกลับมาลงทุนมากขึ้นหลังจากที่นโยบายด้านการค้าและกลุ่มผู้อพยพ รวมถึงนโยบาย FDI ด้วย
เปโส, รูเบิล, ไบเดน
ขณะที่ค่าเงินเปโซมีแนวโน้มจะกลับมาแข็งค่าได้ในช่วปงระมาณต้นเดือนมิ.ย. จากชัยชนะของไบเดน แต่รูเบิลมีทิศทางอ่อนค่า
เนื่องด้วยการมาของไบเดนดูจะเป็น “ข่าวร้าย” สำหรับรัสเซีย ทั้งจากท่าทีที่แข็งกร้าวของทีมบริหารของนายไบเดน และการอ่อนตัวของราคาน้ำมัน โดยเฉพาะหากนายไบเดน มีการผลักดันนโยบายเชิงบวกหรืออนุญาตให้อิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันได้
และไม่เพียงแต่ค่าเงินของรัสเซีย แต่หุ้นของรัสเซียก็มีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงมากขึ้นเมื่อเทียบกับหุ้นฝั่งตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย. เป็นต้นไป
หัวหน้าฝ่ายการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ระบุว่า ณ ปัจจุบันมีเหตุผลมากเพียงพอที่ว่าทำไม รัสเซียจึงคิดว่าจะเกิดการคว่ำบาตรมากขึ้นหากนายไบเดนชนะ เนื่องจากนายไบเดนมีความตั้งใจมากในการจะลงโทษรัสเซีย