นักวิเคราะห์จาก CFRA คาดตลาดอาจรู้สึกเหมือนเผชิญกับภาวะผันผวนในช่วง 2-3 สัปดาห์จากนี้ แต่เชื่อว่าผลกระทบอาจจะเป็นไปอย่างจำกัดเมื่อทราบว่าใครเป็นผู้ชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.นี้
หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการลงทุนของ CFRA กล่าวว่า นักลงทุนน่าจะรู้สึกเป็นปกติหากทราบว่าใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และในเวลานี้นักลงทุนมีความพยายามที่จะปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองรวมทั้งมุมมองของตนเองก่อนช่วงสิ้นปี และในเดือนธ.ค. น่าจะยังเป็นช่วงเริ่มต้นทิศทางบวกอีกครั้ง และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า “ทำไมเราจึงมองว่าธ.ค.เป็นเดือนที่ดีที่สุดของปีนี้”
ทั้งนี้ ตลาดรอดูว่าใครจะหากนายโจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งจะส่งผลให้พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้หรือไม่ เพราะหากครองเสียงข้างมากได้มีแนวโน้มจะยิ่งหนุนมุมมองเชิงบวกต่อตลาด
หากรัฐบาลมีเสถียรภาพ
หากภาวะ Blue Wave ที่เกิดขึ้นเป็นไปค่อนข้างดี ค่าเฉลี่ยราคาในเดือนธ.ค. อาจอยู่ที่ประมาณ 1.5% และภายใต้การบริหารของพรรคเดโมแครตก็อาจส่งผลให้เดือนธ.ค. ปรับตัวขึ้นได้ 2.7% หรืออาจขึ้นได้มากถึง 100%
จะเห็นได้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วที่พรรครีพับลิกันชนะการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและสามารถครองเสียงข้างมากได้ ก็จะเห็นว่าดัชนี S&P500 ปรับตัวดีขึ้น และปรับขึ้นได้เกือบ 3%
และข้อมูลย้อนหลังของ S&P500 ในเดือนธ.ค. จะเห็นว่าปรับขึ้นได้กว่า 1.5% ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯหรือไม่มีการเลือกตั้งในเดือนดังกล่าวก็ตาม
นอกจากนี้ ยังคาดว่า ถึงจะมีความผันผวนเกิดขึ้นในเดือนธ.ค. แต่ระยะยาวก็ยังเป็นแนวโน้มเชิงบวก โดยปีหน้าอาจเห็นเป้าหมายของดัชนี S&P500 ที่ 3,650 จุด หรือปรับขึ้นได้ประมาณ 10% จากระดับปิดล่าสุด
อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดนี้เชื่อว่าจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศษฐกิจได้ และเราจะเริ่มได้ยินเกี่ยวกับการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน, วัคซีน และข้อมูลเศรษฐกิจที่จะตามมา ที่คาดว่าอาจหนุนให้จีดีพีแท้จริงในปีหน้าโตได้ 5.5%
ผลที่ตามมาทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศษฐกิจโตขึ้นได้จากปัจจุบันอีก 25% ของคาดการณ์ผลประกอบการปีหน้า
ที่มา: CNBC