นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน และ นายโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตจะเผชิญหน้ากันในศึกเลือกตั้งวันพรุ่งนี้ และนี่คือการรวมประเด็นต่างๆที่อาจส่งผลกระทบกระทบต่อการเงินส่วนบุคคลของชาวอเมริกาในทุกๆวันจากนี้ได้
แม้จะยังไม่มีการรับประกันใดๆ ที่ระบุว่า ข้อเสนอทั้งหมดนี้จะกลายมาเป็นร่างกฎหมาย แต่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็มีแววอาจนำมาซึ่งนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นโยบายภาษี, ระบบประกันสังคม, ทุนการศึกษา และด้านสุขภาพ เป็นต้น
ภาษี (Taxes)
TRUMP: มีการชูประเด็นหาเสียงในเรื่อง “การลดภาษีเพื่อหนุนการใช้จ่ายภายในประเทศและรักษาการจ้างงานให้แก่ชาวอเมริกา” ที่มีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยในการจะบรรลุให้ถึงเป้าหมาย
บรรดาผู้เชี่ยวชาญ เชื่อว่า นายทรัมป์ อาจพยายามสนับสนุนนโยบาย Tax Cuts and Jobs Act โดยอาจจะมีการลงนามร่างกฎหมายในระหว่างดำรงตำแหน่งช่วงแรกๆ
หน่วยงานด้านการกำกับภาษีของ Joint Committee เผยว่า ในปีที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยของการปรับลดภาษีที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อชาวอเมริกาทั้งหมด ขณะที่กลุ่มคนร่ำรวยดูจะได้รับอานิสงส์มากที่สุด โดยกว่า 76% หรือคิดเป็น 2.59 แสนล้านเหรียญของผู้จ่ายภาษีทั้งหมดประหยัดลงไปกว่า 100,000 เหรียญ/ปี
อย่างไรก็ดี การปรับลดภาษีส่วนบุคคลก็ดูจะเป็นการเกิดขึ้นได้เพียง “ชั่วคราว” เนื่องจากจะมีกำหนดหมดอายุโนยบายต่างๆในปี 2025 และทุกอย่างจะกลับมาเป็นในรูปแบบเดิม โดยจะเกิดการขึ้นภาษีอีกครั้งนั่นเอง ซึ่งทีมบริหารของนายทรัมป์ก็ดูจะพยายามผลักดันให้เกิดการปรับลดภาษีถาวรอยู่ในเวลานี้
ศูนย์นโยบายภาษี Urban-Brookings เผยว่า การทำเช่นนี้จะเพิ่มรายได้หลังหักภาษีให้กับทุกครัวเรือนโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.5% และสูงสุดที่ 20% สำหรับรายได้ประมาณ 167,000 เหรียญ ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ประมาณ 2 ใน 3
นายแลรี่ คุดโลว์ หนึ่งในทีมบริหารที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายทรัมป์ มีแนวคิดที่จะปรับลดภาษีให้แก่ชนชั้นกลางด้วย ขณะที่นายทรัมป์ เสนอให้มีการปรับลดภาษีที่คิดจากกำไรซื้อขายหุ้น (Capital Gains) (จากอัตราสูงสุดที่ระดับ 20% ณ ปัจจุบัน)
BIDEN: เสนอให้มีการขึ้นภาษีกลุ่มคนร่ำรวย และอาจหาวิธีลดสภาษีสำหรับคนรายได้น้อยผ่านทางกลไกลอื่นๆ อาทิ การขยายภาษีในกลุ่มเด็กเป็นการชั่วคราว
ทั้งนี้ นายไบเดนต้องการให้มีการเพิ่มภาษีเงินได้กลุ่มคนที่มีรายได้สูงกว่า 400,000 เหรียญ ที่ระดับ 39.6% หรือเพิ่มจากระดับ 37% แ ละอาจมีการเพิ่มภาษีเงินเดือนด้วย แต่ก็มีแผนที่จะจำกัดมูลค่าของการปรับลดในรายการต่างๆ อาทิ การบริจาคเพื่อการกุศล และค่าใช้จ่ายทางการแพทย์เป็นต้น
และการขึ้นภาษีข้างต้นที่ระดับ 39.6% อาจสร้างเม็ดเงินเพิ่มมากถึง 1 ล้านเหรียญ/ปี ซึ่งมากเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับระดับปัจจุบัน
ผู้อำนวยการจาก Buckingham Wealth Partners กล่าวว่า กลุ่มคนร่ำรวยส่วนใหญ่สร้างรายได้มากมายจากการลงทุนของพวกเขา
Tax Policy Center ระบุว่า ในปี 2022 จะเกิดการปรับเพิ่มภาษีที่ 20% หรือราว 160,000 เหรียญขึ้นไป และนั่นจะส่งผลให้บุคคลที่ต้องจ่ายภาษีมีภาระในการชำระภาษีมากขึ้นประมาณ 5% หรือ 14,700 เหรียญในปี 2022
ขณะเดียวกัน การที่นายไบเดนสนับสนุนการเพิ่มภาษีเครดิตในกลุ่มเด็กที่ระดับ 3,000 เหรียญสำหรับช่วงวัยต่ำกว่า 17 ปีก็จะมีการเพิ่มโบนัสให้กลุ่มเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีด้วย นั่นหมายความว่าการจ่ายภาษีใดๆในกลุ่มเด็กก็จะสามารถเรียกเงินคืนได้ที่ระดับ 2,000 เหรียญต่อเด็กที่อายุน้อยกว่า 17 ปี จากปัจจุบันที่ 1,400 เหรียญสำหรับเด็กแต่ละคน) หรืออาจเห็นการขึ้นภาษีในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 5% หรือคิดเป็น 750 เหรียญโดยประมาณในปี 2022
ทั้งนี้ บางมุมมองของตลาดเชื่อว่า ข้อเสนอของนายไบเดนจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อกลุ่มผู้เสียภาษีที่มีรายได้น้อยและชนชั้นกลางจากการเพิ่มภาษีนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการขึ้นราคาของสินค้าเพื่อการบริโภคต่างๆ รวมถึงค่าจ้างพนักงานที่ค่อนข้างซบเซาในเวลานี้
ประกันสังคม
BIDEN: เรียกร้องการสนับสนุนระบบประกันสังคมส่วนบุคคลในหลายๆวิธี อาทิ
การเพิ่มการจ่ายเงินรายเดือนให้แก่ผู้สูงอายุ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเวลาอย่างน้อย 20 ปี
เพื่อป้องกันไม่ให้เงินฝากออมทรัพย์เพื่อการเกษียณต้องหมไป
สิ่งที่จะตามมาคือการกำหนดสิทธิประโยชน์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 125% ของกลุ่มคนยากจน หรือบุคคลที่ทำงานมาไม่น้อยกว่า 30 ปี เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์และสามารถดำรงอยู่ได้ไม่น้อยกว่า 20%
นอกจากนี้ นายไบเดน ดูจะมองหาการฟื้นฟูระบบประกันสังคมทางการเงินด้วย โดยอาจมีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนสิทธิประโยชน์ที่คาดว่าจะเปิดใช้งานได้ประมาณปี 2035 หรือจะสนับสนุนให้เกิดการรับผลประโยชน์ได้กว่า 79% ท่ามกลางวิกฤตคนตกงานในช่วง Covid-19 ที่อาจส่งผลกระทบนานออกไป 2-3 ปีจากนี้
TRUMP: จะปกป้องระบบประกันสังคม เพื่อสนับสนุนหลายๆโอกาส ดังที่เขาได้เคยทวิตเตอร์ไว้ ดังนี้
ขณะที่เดือนส.ค. ที่ผ่านมา นายทรัมป์มีการลงนามประกันสังคมการจ่างค่าแรงช่วงวันหยุดระหว่าง 1 ก.ย. – 31 ธ.ค.
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสถิติด้านประกันจาก Social Security’s กล่าวว่า หาก “นายทรัมป์” ชนะศึกเลือกตั้ง 3 พ.ย. นี้ได้ ก็อาจมีการละเว้นและปรับลดภาษีค่าแรงเป็นการชั่วคราวลงด้วย แต่การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ความน่าเชื่อถือของประกันสังคมยุติลงในช่วงกลางปี 2023 ลงได้
ทุนการศึกษา
BIDEN: มีข้อเสนอให้ผ่อนผันหนี้สินกลุ่มผู้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 10,000 เหรียญ โดยให้ยกหนี้ของรัฐบาลกลางผนวกกับค่าเล่าเรียนในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเปิดของรัฐ สำหรับกลุ่มผู้กู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 125,000 เหรียญ/ปี
TRUMP: ไม่มีการกล่าวถึงแผนปลดหนี้เงินกู้สำหรับนักศึกษา แต่มีการเรียกร้องให้ผ่อนผันสินเชื่อด้านบริการเงินกู้เพื่อให้สามารถมอบทุนแบบไม่แสวงหาผลกำไรในโครงการรัฐ และอาจมีการยกเลิกการชำระหนี้สำหรับคนที่มีการชำระตรงเวลามาเป็นเวลาหลายสิบปี
แต่โครงการเหล่านี้ก็ยังมีความไม่แน่นอนจนถึงปีหน้า ไม่ว่า “นายทรัมป์” หรือ “นายไบเดน” จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในเวลานี้
ระบบสุขภาพ
TRUMP: อาจมีการเพิ่มขั้นตอนการผ่อนปรนค่าใช้จ่ายด้านสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงรงการบางอย่าง เช่น
- การราคาลดยารักษาโลก
- การยกเลิกการให้คำปรึกษาของเภสัชกร ในการแนะนำตัวเลือกยาที่มีราคาถูกกว่าตัวยาในใบสั่งยาของกลุ่มผู้ป่วย
โดยทั้งหมดนี้น่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า
นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังต้องการให้มีบัตรประกันสุขภาพรายบุคคลที่ 200 เหรียญ/คน เพื่อช่วยชำระค่าใช้จ่ายด้านยารักษาโรคด้วย
ขณะที่ ทีมบริหารของนายทรัมป์มีการให้การสสนับสนุนการยกเลิกนโยบาย ACA หรือ Obamacare เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิด้านการรักษาทางการแพทย์ และผลโยชน์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี
BIDEN: เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสุขภาพด้วยเช่นกัน
- ขยายกรอบเวลาการเริ่มให้การรักษาจาก 65 ปี ลดลงมาเริ่มที่ 60 ปี
- นโยบายด้านสุขภาพจะครอบคุลมถึงเรื่องของทันตแพทย์, จักษุแพทย์ และการได้ยินทั้งหมด ที่ถูกยกเว้นในปัจจุบัน
- ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านยารักษาโรคผ่านทางสิทธิประโยชน์ของประกันสุขภาพเช่นกัน โดยอาจจะอนุญาตให้หน่วยงานรัฐฯทำการเจรจาเรื่องราคายาให้ตามกฎหมายเพื่อให้ถูกลง
- สนับสนุนนโยบาย ACA ต่อไป
ที่มา: CNBC