รายงานจาก CNBC ระบุว่า การปรับพอร์ตการลงทุนตามผลการเลือกตั้งอาจเป็น “ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์” เมื่อพิจารณาจากอดีตที่ผ่านมา และอาจทำให้ปีนี้เป็นเหมือนในอดีตอีกครั้ง ท่ามกลางปัจจัยที่หลากหลายกว่าทั้งเรื่องการระบาดของไวรัส และทิศทางอนาคตทางเศรษฐกิจและตลาดต่างๆ
นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯมีการปรับพอร์ตการลงทุนตามแนวทางการดำเนินนโยบายของผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ในระยะเวลา 4 ปีจากนี้ เช่น
นายโจ ไบเดน – ที่ดูจะเป็นมิตรกับ “กลุ่มพลังงาน” และ “โครงสร้างพื้นฐาน”
นายโดนัลด์ ทรัมป์ – ที่ดูจะเป็นมิตรกับ “พลังงานฟอสซิล” และ “ภาคอุตสาหกรรมรายใหญ่”
ผู้จัดการด้านพอร์ตการลงทุนอาวุโสจาก Morgan Stanley กล่าวว่า หลังเลือกตั้งทิศทางตลาดก็มักจะแตกต่างไปจากช่วงก่อนเลือกตั้ง และนักลงทุนที่ดีก็ไม่ควรให้ความสำคัญในทางการเมืองมากเกินไป
แต่ในเวลานี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญและจับตาไปยังประเด็นต่อจากการเลือกตั้ง หนึ่งในนั้นคือการผ่อนคลายทางการเงินของ “เฟด” ที่น่าจะเป็นปัจจัยปัจจัยขับเคลื่อนตลาดต่อไปจนกว่าเงื่อนไขต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไป
การพูดถึง “นายทรัมป์” หรือ “นายไบเดน” อาจจะมีความสนใจมากกว่าชื่อของ “นายเจอโรม โพเวลล์” เนื่องด้วยทั้งสองคนคือผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับประธานเฟด
แต่นักลงทุนไม่ควรลืมว่า “นโยบายของเฟดเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ”
และจะเห็นได้ว่า การดำเนินนโยบายการเงินและเรื่องดอกเบี้ยก็ดูจะช่วยหรือเป็นแรงกดดันได้ นอกจากเรื่องของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เมื่อพิจารณาข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าในยุคสมัยของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่เป็นประธานาธิบดีในเชิง Pro-Business ซึ่งเขาได้รับเลือกในปี 2000 – เวลานั้นตลาดตอบรับในเชิงปรับตัวลดลง หลังจากที่เขาเข้าสู่การดำรงตำแหน่ง
อีกหนึ่งตัวอย่าง ที่ภาคธุรกิจหลายๆแห่งเกิดความวิตกกังวลว่าการมาของ นายบารัค โอบามา จะไม่เป็นมิตรต่อตลาดในช่วงที่เขาได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2008 – แต่ตลาดกลับตอบรับได้ดีหลังจากที่จบการเลือกตั้ง
ความแตกต่าง:
ในปี 2000 – เฟดมีการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินเพื่อลดภาวะฟองสบู่ไอที (Dotcom Bubble)
ในปี 2008 – เฟดมีการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจที่เผชิญกับวิกฤตการเงิน และภาวะเศรษฐกิจถดถอย Great Recession ที่ตามมา
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley อธิบายว่า จากสภาวะตัวอย่างข้างต้น
- นักลงทุนเลือกซื้อหุ้นหลังจากที่นายจอร์จ บุช ได้รับตำแหน่ง
- นักลงทุนเลือกจะขายหุ้นหลังจากที่นายบารัค โอบามา ได้รับตำแหน่ง
“และทั้งหมดนี้ เป็นการให้ความสนใจที่ผิดทาง”
เมื่อนายทรัมป์ ได้รับเลือกในปี 2016 ตลาดมีแนวคิดว่าเขาจะมาหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงานในเชิงบวก ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะเดินตามมุมมองนั้น แต่เวลานั้นเฟดเองก็มีการกลับมาคุมเข้มทางการเงิน ท่ามกลางตลาดหุ้นที่ค่อนข้างเคลื่อนไหวในทิศทางบวก
แต่เมื่อเฟดมีแนวโน้มจะทำการการคุมเข้มทางการเงินเพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นก็ดูจะสูญเสียภาวะขาขึ้นไป จนเมื่อเฟดมีการปรับท่าทีมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินในยุคแห่งการระบาดของ Covid-19 ก็ดูจะช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯได้อีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน
ผลกำไรของภาคบริษัทต่างๆไม่เพียงจะออกมาดูดีขึ้น และ CEO หลายรายก็ดูจะมีมุมมองเชิงบวกต่อหลังจากที่มีการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2020 ควบคู่กับข้อมูลจีดีพีไตรมาสที่ 3 ของสหรัฐฯในขั้นต้นที่โตได้ 33.1% ซึ่งถือเป็นระดับการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นประวัติการณ์ขณะที่ข้อมูลการผลิตของสหรัฐฯปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีในเดือนก.ย.
และทั้งหมดนั้น ก็มี “เฟด” ที่ใช้นโยบายที่เป็นมิตรต่อตลาด
ดังนั้น เฟดถือเป็นสิ่งสำเป็นต่อตลาด และสิ่งที่เฟดทำมีความสำคัญมากกว่า “ใครชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเวลานี้”
ผู้จัดการด้านพอร์ตการลงทุนอาวุโสจาก Morgan Stanley เผยว่า โดยส่วนตัวเขาชอบถือหุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมเทรดกัน โดยในปีนี้ก็คือ “หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่” เนื่องด้วยบริษัทในกลุ่มเหล่านี้มีโกอาสจะได้เปรียบที่สุดเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจถูกจำกัด และปีหน้าหุ้นกลุ่มนี้ก็ยังค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจากสภาวะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่แต่ในบ้าน จึงอาจมีการ Trade From Home ต่อเหมือนในปี 2020
นอกจากนี้ เขาไม่ได้มองถึงเรื่องมูลค่าของหุ้นเพียงอย่างเดียว เพราะกลุ่มธุรกิจโดยส่วนใหญ่ต่างก็ได้รับผลกระทบในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวและที่พักต่างๆ ดังนั้น เขาจึงเลือกหุ้นที่สามารถเติบโตได้ในบางช่วงและมีความน่าสนใจมากกว่า แม้ว่าในปีนี้หุ้นเทคโนโลยีจะมีแรงเทขายเข้ามา
สำหรับการสิ้นสุดภาวะขาลงต่อตลาดหุ้น เขาคาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อ “มีการอนุมัติวัคซีน Covid-19 เป็นการฉุกเฉิน” ที่อาจมาช่วยยุติวงจรตลาดในปัจจุบันได้
ทั้งนี้ ตลาดน่าจะยังเคลื่อนไหวได้ในทิศทางที่ดีจนกว่าจะมีการระบาดรอบใหม่เพิ่มขึ้น แต่การจะมีวัคซีนอาจช่วยเพิ่มแนวโน้มและคาการณ์ในเชิงบวกมากขึ้น รวมทั้งขีดความสามารถที่มากขึ้น แต่เฟดก็น่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายใดในเวลานี้ ซึ่งเฟดจะเริ่มเปลี่ยนท่าทีในการดำเนินนโยบายก็ต่อเมื่อมีความมั่นใจมากขึ้น และนี่จะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น
ที่มา: CNBC