· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ หลังจากสหรัฐฯและจีนตกลงที่จะกลับมาเจรจาทางการค้ากันอีกครั้ง ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เทขายสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างค่าเงินเยน และค่าเงินสวิสฟรังก์ เนื่องจากนักลงทุนคลายความตึงเครียด
อย่างไรก็ดี ตลาดก็ยังคงมีท่าทีระมัดระวังต่อการเจรจาการค้าที่อาจจะยังไม่สามารถหาข้อตกลงได้กันที โดยดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.8% ที่ระดับ 96.848 จุด หลังดัชนีไปทำระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ได้ที่ 96.867 จุด ทางด้านยูโรอ่อนค่าลง 0.8% ที่ระดับ 1.1283 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมา 0.5% ที่ระดับ 108.47 เยน/ดอลลาร์ หลังจากช่วงต้นทำระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 108.53 เยน/ดอลลาร์
· กิจกรรมการผลิตสหรัฐฯชะลอตัวลงใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 3 ปีในเดือนที่มิ.ย. จากยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ที่ปรับตัวลง อันเป็นผลจากความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ISM เผยดัชนีภาคการผลิตออกมาแย่กว่าที่คาดในเดือนที่แล้วที่ระดับ 51.7 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ต.ค. ปี 2016
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน “ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” ผ่านการเจรจาทางโทรศัพท์เมื่อวานนี้ พร้อมยืนยันว่าข้อตกลงการค้าใดๆที่จะเกิดขึ้น สหรัฐฯต้องเป็นฝ่ายได้รับผลประโยชน์
· บริษัท Huawei ของจีน กล่าวว่า กำลังรอสัญญาณชี้นำจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯว่าจะสามารถกลับมาใช้ระบบการจัดการ Android ของกูเกิลได้หรือไม่ โดยที่ทางกระทรวงพาณิชย์ก็ยังไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะตัดสินใจอย่างไรว่าจะอนุมัติให้บริษัท Huawei เข้าถึงระบบปฏิบัติการ Android ของ Google รวมทั้งบริการอื่นๆทางด้าน Smartphones ของ Huawei เช่นไร
· นักวิเคราะห์จาก Bank of America Merrill Lynch และ Morgan Stanley ออกโรงเตือน การปรับตัวสูงขึ้นของตลาดหุ้น ที่ตอบรับกับการสงบศึกระหว่างสหรัฐฯ-จีนหลังการประชุม G20 อาจคงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อนักลงทุนเริ่มตระหนักว่าการเจรจาการค้าอาจยืดเยื้อออกไปอีกหลายเดือน และมีโอกาสที่ภาษีจะถูกปรับขึ้นระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเจรจา
โดยทาง Morgan Stanley คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับฐานลงอย่างน้อย 10% ในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้
ขณะที่ Bank of America มีมุมมองว่า การเจรจาระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศที่ยังไม่สามารถข้อตกลงครั้งสำคัญได้ สอดคล้องกับรูปแบบ “no pain, no deal” กล่าวคือ เนื่องจากเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศยังไม่อ่อนแอลงมากพอที่จะกระตุ้นให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อเสนอจากอีกฝ่าย
ทั้งนี้ เชื่อว่าในท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาข้อตกลงได้ แต่ตลาดหุ้นอาจต้องมีการปรับฐานครั้งใหญ่จนกว่าจะเกิดข้อตกลงได้ พร้อมคาดว่าข้อตกลงอาจเกิดขึ้นหลังไตรมาสที่ 3 โดยหากเกิดข้อตกลงขึ้นจริง ประเมินว่า ดัชนี S&P 500 อาจปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 3,100 จุด แต่ถ้ามีการปรับขึ้นภาษี ดัชนีก็อาจปรับร่วงลงไปอีก 5% เป็นอย่างน้อย
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า กองทัพเรือจีนกำลังดำเนินการทดสอบขีปนาวุธต่อต้านเรือรบในพื้นที่ทะเลจีนจีนใต้ ซึ่งเป็นน่านน้ำที่มีความขัดแย้งด้านการปกครองกับสหรัฐฯอยู่เสมอๆ โดยการทดสอบอาวุธเริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจดำเนินต่อไปจนถึงวันพุธนี้ ขณะที่เรือรบของสหรัฐฯ แม้จะยังคงอยู่ในน่านน้ำของทะเลจีนใต้ แต่ไม่ได้อยู่ใกล้พิสัยของการทดสอบอาวุธแต่อย่างใด
· อิตาลีปรับลดเป้ายอดขาดดุลปี 2019 เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษของอียู ที่ยังคงล้มเหลวในการปรับลดระดับหนี้สินสาธารณะจำนวนมหาศาลปี 2018
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน โดยเตือนว่า อิหร่านกำลัง “เล่นกับไฟ” หลังมีรายงานว่า ปริมาณการครอบครองแร่ยูเรเนียมของอิหร่าน ได้เพิ่มสูงเกินกว่าเพดานที่ข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ปี 2015 กำหนดไว้ไปแล้ว
· สำนักข่าวเกาหลีเหนือมีรายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯตกลงที่จะพบกันในวันอาทิตย์นี้เพื่อผลักดันให้เกิดข้อตกลงฉบับใหม่ในการปลดอาวุธนิวเคลียร์บริเวณคาบสมุทรเกาหลี
· ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นหลังจากที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทาน โดยราคาอ่อนตัวลงเล็กน้อยหลังจากที่โอเปกจะขยายระยะเวลาการผลิตออกไปจนถึงเดือนมี.ค. ปี 2020 เพื่อสนับสนุนการอ่อนตัวทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มกำลังการผลิตของสหรัฐฯ
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 32 เซนต์ ที่ระดับ 65.06 เหรียญ/บาร์เรล โดยระหว่างวันทำระดับสูงสุดที่ 66.75 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 62 เซนต์ ที่ระดับ 59.09 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำระดับสูงสุดรอบ 5 สัปดาห์ที่ 60.28 เหรียญ/บาร์เรล