ในคืนวันศุกร์ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด +1.33% หรือปรับขึ้น 210.83 จุด ที่ระดับ 16,093.51 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปิด +3% ที่ระดับ 338.36 จุด และเช้านี้ดัชนีนิกเกอิเปิด +1.10% หรือกว่า 187.28 จุด ที่ระดับ 17,145.81 จุด เพราะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ และถ้อยแถลงของประธานอีซีบี รวมทั้งผู้ว่าการบีโอเจที่ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อเศรษฐกิจเพิ่มเติม จึงทำให้ตลาดมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หุ้นต่างๆที่ถูกหน่วยงานกำกับดูแลล็อกไว้มูลกว่า 4.95 หมื่นล้านหยวน (7.4 พันล้านเหรียญ) จะถูกปลดล็อกและสามารถกลับมาซ้อขายได้ในตลาดหุ้นจีนสัปดาห์นี้
นักบริหารเงิน ประเมินว่า สัปดาห์นี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 36.00-36.30 บาท/ดอลลาร์ โดยต้องจับตาปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ข้อมูลการส่งออกและเครื่องชี้เศรษฐกิจเดือนธ.ค. ของไทย ตลอดจนผลการประชุมเฟด (26-27 ม.ค.) และผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (28-29 ม.ค.) ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย. ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายเดือนธ.ค. จีดีพีประจำไตรมาส 4/58 ตลอดจนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี PMI เขตชิคาโก และ PMIภาคบริการขั้นต้นเดือนม.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนน่าจะยังให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ตลาดการเงินของจีนอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ โดยในเช้าวันนี้หลุด 36 บาท/ดอลลาร์ ลงมาทำจุดต่ำสุด 35.97 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทและค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์ หลังจากที่อีซีบีส่งสัญญาณเตรียมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ด้านค่าเงินริงกิตของมาเลเซียได้รับแรงหนุนจากการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ที่ระดับ 3.50% และแรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยงตามการดีดตัวของราคาน้ำมันตลาดโลก รวมไปถึงการปรับสถานะก่อนทราบผลการประชุมของเฟดและบีโอเจในสัปดาห์นี้