ในคืนวันศุกร์ดัชนีดาวโจนส์ปิด +2.47% หรือปรับตัวขึ้นกว่า 396.66 จุด ที่ระดับ 16,466.30 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปิด +2.2% ที่ระดับ 342.27 จุด และเช้านี้ ดัชนีนิกเกอิเปิด +1.62%ปรับตัวขึ้นกว่า 284.35 จุด ที่ระดับ 17,802.65 จุด เนื่องจากนักลงทุนขานรับกับประชุมบีโอเจที่ตัดสินใจใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ซึ่งนโยบายดังกล่าวของบีโอเจอาจช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกได้ จึงช่วยสกัดปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขจีดีพีขั้นต้นของสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าคาดแตะระดับ 0.7%
นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.50 – 35.90 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยภายในประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยประจำเดือนมกราคม และผลประชุมนโยบายของธปท. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ ข้อมูล PMI, ภาคแรงงาน และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐฯ รวมถึงภาคการผลิตและบริการของ จีนที่จะเปิดเผยในวันจันทร์นี้
ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อตราสารหนีไทยเป็นจำนวน 41,412.35 ล้านบาท เปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ขายตราสารหนี้ไทยเป็นจำนวน 4,498.61 ล้านบาทขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าซื้อหุ้นไทยเป็นจำนวน 2,570.22 ล้านบาท เปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ขายหุ้นไทยเป็นจำนวน 828.75 ล้านบาท
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า ในขณะนี้ ธปท. ยังมีมุมมองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ในปีนี้ จะอยู่ที่ 3.5% เนื่องจาก ที่ผ่านมา ธปท.ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ให้จับตาการประกาศตัวเลขของ ธปท. อย่างเป็นทางการ อีกครั้งในช่วงปลายเดือน ก.พ.นี้
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดจีดีพีไทยในปีนี้ จะสามารถโตได้ในช่วง 3.2%-4.2%