เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านจะเห็นได้ว่าตลาดโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยบริษัทรายใหญ่อย่าง Amazon มีผลประกอบการรายไตรมาสลดลงกว่า 77% จึงฉุดให้ดัชนี S&P และ NASDAQ ปรับร่วงลงตาม ขณะที่ราคาทองคำปรับลดลงเพียงเล็กน้อย และยังรักษาระดับอยู่บริเวณ 1,250 เหรียญได้อย่างแข็งแกร่ง จึงเป็นสัญญาณที่ดีว่าทิศทางต่อไปของราคาทองคำอาจจะสามารถกลับไปยืนเหนือระดับ 1,300 เหรียญได้
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก Gold Eagle จึงได้แนะนำให้เหล่านักลงทุนจับตามองประเด็ฯดังต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งได้แก่
1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ
การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งค่าเงินดอลลาร์จะส่งผลโดยตรงกับราคาทองคำ ทั้งนี้ ตามทฤษฏีแล้วเป็นเพราะว่า หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์ก็จะแข็งค่าขึ้นมา ส่งผลให้มีการใช้เงินดอลลาร์ที่น้อยลงเพื่อซื้อทองคำ ราคาทองคำจึงปรับร่วงลงมา
แต่ทว่าในการประชุมเฟดครั้งล่าสุด เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯและคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ราคาทองคำจึงได้ตอบรับกับข่าวและปรับตัวขึ้นมาได้
2. ความเสี่ยงทางการเมือง
ทองคำในปัจจุบันถูกใช้เป็นสินค้าการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง หรือที่เรียก “เฮดจ์” (Hedge) แทนที่สินค้าที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น เพื่อป้องกันการขาดทุนในกรณีเกิดความตึงเครียดทางการเมืองหรือเหตุการณ์ใดๆ
โดยจะเห็นได้ว่าการเมืองในสหรัฐฯปีนี้จะค่อนข้างดุเดือดมากพิเศษ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนในตลาดหุ้น ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะมีผลประกอบในปีนี้ค่อนข้างดีก็ตาม แต่ความกังวลด้านการเมืองก็ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนหันเข้าหาสินค้า Safe-haven อย่างทองคำ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าราคาทองคำมักจะปรับตัวขึ้นมาตามข่าวที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับการเมืองสหรัฐฯ
ที่มา: Gold Eagle