นักลงทุนในตลาดเอเชียยังคงมีความระมัดระวังต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นและตลาดการเงินที่ค่อนข้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว และกำลังพิจารณาว่าจะถอนเงินบางส่วนออกจากตลาดหรือไม่ แต่จะเห็นได้ว่าความวิตกกังวลของนักลงทุนในตลาดเอเชียไม่ได้สะท้อนในมาตรวัดความผันผวนและความวิตกกังวลของตลาด
โดย Indicators ต่างๆ แม้ว่าจะยังอยู่ในทิศทางเชิงลบแถบเส้นสีแดงหรือสีส้มจากภาวะ Overvalued และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น อันเป็นผลมจากสภาพเศรษฐกิจ ผลประกอบการ หรือภาวะทางการเมืองที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อน แต่บรรดานักลงทุนก็ยังคงรู้สึกปลอดภัยที่จะเลือกลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
นอกจากนี้ ถึงจะมีภัยคุกคามบางส่วนจากปัญหาความขัดแย้งกรณีเกาหลีเหนือ หรือความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมไปถึงปัญหาวิกฤติหนี้สินของจีนด้วย แต่ดัชนีมาตรวัดความวิตกกังวลและความผันผวนของตลาด (VIX) ที่ยังคงทำระดับต่ำสุดอย่างต่อเนื่อง (All-time low)
VIX เป็นดัชนีมาตรวัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ก็ประกอบไปด้วยการนำหุ้นจีนอย่าง SSEC, VXFXI มาคำนวณรวมด้วย ซึ่งหุ้นจีนนั้นยังอยู่ในระดับ 18% ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2014
อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาดูการปรับลดยอดงบดุลของเฟดที่เป็นหนี่งในแนวทางการถอนนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ที่ดูเหมือนว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินในตลาดเอเชีย และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนในตลาดบางส่วนกำลังวิตกกังวล
ขณะที่การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ที่เห็นได้จากดัชนีดอลลาร์ที่ร่วงลงไป 9% ในปีนี้ ได้รับผลกระทบหลักจากข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่น่าผิดหวัง หรือแม้แต่การที่ทีมบริหารของนายทรัมป์ยังไม่สามารถบรรลุแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินไม่ว่าจะเป็น การปฏิรูปกฎหมายประกันสุขภาพและนโยบายภาษี
ซึ่งเหตุผลข้างต้นเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนพึงพอใจที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและตลาดพันธบัตร ด้วยความคาดหวังว่าค่าเงินของเอเชียจะมีการปรับแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ทำให้ ตลาดหุ้นอินเดีย จีน และเกาหลีใต้ มีสัดส่วนการลงทุนเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 30%
ที่มา: Reuters