· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อคืนนี้หลังจากที่ปรับอ่อนค่าไปในวาระการซื้อขายวันก่อน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนลดน้ำหนักความสนใจต่อความตึงเครียดทางการเมืองของสหรัฐฯ แต่ให้น้ำหนักความน่าสนใจไปยังการประชุมธนาคารกลางทั่วโลก
โดยในช่วงปลายตลาดค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าข้นมาบริเวณ 109.49 เยน/ดอลลาร์ ทางด้านดัชนีดอลลาร์ทรงตัวระดับ 93.272 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.1801 ดอลลาร์/ยูโร
แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่า การปรับแข็งค่าขึ้นน่าจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยถ้อยแถลงสำคัญจาก นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด และนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี ในการประชุมแจ็กสัน โฮล ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะไม่มีการกล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายใหม่ใดๆจากประธานธนาคารกลางทั้ง 2 ท่าน
· นักวิเคราะห์ค่าเงินอาวุโสจากซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ ประเทศแคลิฟอร์เนีย แสดงความคิดเห็นว่าไม่คาดหวังว่าจะได้ยินสัญญาณใดๆเพิ่มเติมจากประธานธนาคารกลาง 2 แห่ง แต่ถ้อยแถลงที่จะเกิดขึ้นอาจมีการกล่าวถึงแรงกดดันเงินเฟ้อ หรือการปราศจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่กดดันต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นและได้ยินได้จากประธานเฟด
· ภาพรวมค่าเงินดอลลาร์ปีนี้ปรับอ่อนค่าลงไปประมาณ 14% เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ขานรับกับความคาดหวังในการบริหารของนายทรัมป์ที่ลดน้อยลงเกี่ยวกับการปรับลดภาษีและการเคลื่อนไหวของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ขณะที่แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็มีน้อยลงไป
· นักวิเคราะห์บางรายแสดงความคิดเห็นว่า ประธานเฟดอาจสร้างเซอร์ไพรส์ให้แก่ตลาด หากเธอให้สัญญาณที่มีน้ำหนักมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเการประชุมเดือนธ.ค.นี้ หรือมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดยอดงบดุลของเฟดที่มีกระแสคาดการณ์กันว่าอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนหน้า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะสนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
· นักกลยุทธ์ค่าเงินจากโรโบแบงก์ คาดการณ์ว่า ประธานอีซีบีอาจกล่าวถึงการแข็งค่าของค่าเงินยูโรที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่โดยส่วนตัวเธอคิดว่าแม้นายดรากี้จะกล่าวถึงประเด็นดังกล่าว แต่ภาพรวมเชื่อว่าปีนี้ทิศทางของค่าเงินยูโรจะอยู่ในทิศทางที่แข็งค่า
· นายพอล ไรอัน โฆษกประจำทำเนียบขาว ระบุเกี่ยวกับนโยบายปฏิรูปภาษีว่า อัตราภาษีของภาคธุรกิจที่จะปลับลด ควรจะปรับลดแบบถาวร และไม่ควรที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งในขณะนี้คณะบริหารของประธานาธิบดีก็กำลังพิจารณาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมอยู่
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ได้กล่าวโทษสมาชิกพรรครีพับลิกัน ว่ารัฐบาลจะไม่ประสบปัญหาเพดานหนี้ หากพวกเขาเชื่อฟังคำแนะนำของนายทรัมป์
ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลควรพิจารณาขยายเพดานหนี้ภายในวันที่ 29 ก.ย. นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลสูญเสียอำนาจในการกู้ยืมหรือชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯสูญเสียความน่าเชื่อถือทางการเงิน และอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืดได้
· ผลการประกาศยอดขายบ้านมือสองสหรัฐฯปรับตัวร่วงลงในเดือนก.ค. แตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือน โดยข้อมูลล่าสุดปรับลดลง 1.3% ที่ระดับ 5.44 ล้านยูนิต ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ส.ค. ปี2016 ขณะที่ภาพรวมยอดขายบ้านมือสองเมื่อเทียบรายปีปรับตัวขึ้นได้ 2.1%
อย่างไรก็ดี ข้อมูลยอดขายบ้านมือสองล่าสุดที่ปรับตัวลงเกินคาด มาจากภาวะการปราศจากปัจจัยสนับสนุนราคาบ้าน จึงส่งสัญญาณว่าตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐฯนั้นฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ
· จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯออกมาดีขึ้นกว่าที่คาดสู่ระดับ 234,000 ราย แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากข้อมูลเดือนก่อนหน้าประมาณ 2,000 ราย
อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดก็ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 300,000 รายต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 129 และถือเป็นระดับยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 สำหรับภาพรวมแนวดน้มความผันผวนของตลาดแรงงานลดลงไป 2,750 ราย สู่ระดับเฉลี่ยของผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่บริเวณ 237,750 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 2% ท่ามกลางเหตุพายุเฮอริเคนฮาเวย์ ที่คาดการณ์ว่าจะกระหน่ำเข้าพัดชายฝั่งของสหรัฐฯจำนวน 3 ลูก ซึ่งจะเป็นพายุลูกใหญ่ที่ทีสุดในรอบกว่า 12 ปี และอาจส่งผลการจัดการน้ำมันดิบซึ่งมีศูนย์กลางพลังงานที่บริเวณปากอ่าวคาบสมุทรสหรัฐฯ
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวลดลง 98 เซนต์ ที่ระดับ 47.43 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับตัวลง 53 เซนต์ หรือคิดเป็น 1% ที่ระดับ 52.04 เหรียญ/บาร์เรล
· รายงานจากรอยเตอร์ส ประเมินว่า ประมาณร้อยละ 10 ของพื้นที่ชายฝั่งสหรัฐฯจะส่งผลกระทบให้ไม่สามารถกลั่นน้ำมันดิบได้ประมาณ 9.75 ล้านบาร์เรล/วัน