· ดัชนีดาวโจนส์ปิด +0.12% ที่ระดับ21,892.43 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.46% ที่ระดับ 2,457.59 จุด และดัชนีNasdaq ปิด +1.05% ที่ระดับ 6,368.31 จุด
· โดยดัชนี Nasdaq ที่ปิดได้กว่า 1% ถือเป็นระดับเปอร์เซ็นต์ปิดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค.
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งกว่าที่คาด จึงชดเชยกับภาวะความกังวลของตลาดเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ และความไม่แน่นอนของผลกระทบจากพายุเฮอริเคน ฮาร์วีย์
· ประมาณการณ์จีดีพีสหรัฐฯครั้งที่ 2 ถูกปรับทบทวนขึ้นมาที่ระดับ 3% ในไตรมาสที่ 2 นี้ เพราะได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายของกลุ่มผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการลงทุนในภาคธุรกิจที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนที่ดีขึ้นเกินคาดแตะระดับ 237,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งถือเป็นระดับการขยายตัวที่มากที่สุดในรอบ 5 เดือน
· สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ ดูเหมือนจะมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น หลังจากที่นายทรัมป์ดูจะไม่ทำการเจรจาทางการทูตใดๆก็ตาม โดยมีการทวิตเตอร์ข้อความว่า "การพูดคุยไม่ใช่คำตอบ" หลังจากที่เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธข้ามน่านฟ้าประเทศญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี นายจิม แมททิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม กล่าวตามมาในภายหลังว่า สหรัฐฯยังคงจะเลือกใช้การเจรจาทางการทูตอยู่
· ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เปิดบวกในเช้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่า
· ดัชนี Nikkei ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น เปิด +0.57% นำโดยหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนตร์และเทคโนโลยี ขณะที่ดัชนี Kospi ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิด -0.12%
· นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ไว้ที่ 33.15-33.30 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง เนื่องจากมีปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า