· ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 22.86 จุด หรือคิดเป็น -0.1% ที่ระดับ 21,784.78 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด -0.02% ที่ระดับ2,465.1 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -0.07% ที่ระดับ 6,397.87 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังจากที่หุ้นกลุ่มสื่อสารปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางหุ้นบริษัทส่วนใหญ่ที่ออกมาในแดนลบอาทิ หุ้นบริษัท Walt Disney และ Comcast จึงบดบังการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มสุขภาพ
· นักลงทุนจับตาผลกระทบจากพายุเฮอริเคน “เออร์มา” ที่กำลังกระหน่ำพัดเข้าสู่รัฐฟลอริดา ตามมาติดๆ หลังจากที่พายุเฮอริเคน “ฮาวีย์” พัดถล่มเข้าสู่รัฐเท็กซัส
· พายุ “เออมาร์” ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ล่าสุดที่สร้างแรกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่ช่วงต้นสัปดาห์ตลาดเผชิญแรงกดัดนจากภาวะตึงเครียดทางการเมืองเกี่ยวกับกรณีของเกาหลีเหนือ จึงส่งผลให้ภาพรวมดัชนี S&P500 ปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 และยิ่งเพิ่มความกังวลว่า เดือนก.ย.นี้ จะเป็นประวัติศาสตร์การร่วงลงมากที่สุดของตลาดหุ้นก็ว่าได้
· ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดผสมผสานกันหลังจากที่ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าตอบรับถ้อยแถลงการประชุมของอีซีบีที่จะเริ่มกำหนดช่วงเวลาการปรับลดการเข้าซื้อพันธบัตร ท่ามกลางตลาดส่วนใหญ่ที่รอคอยยอดดุลการค้าของจีนประจำเดือนส.ค. ที่จะเปิดเผยในวันนี้
· ดัชนีนิเกอิเปิด -0.43% หลังข้อมูลจีดีพีญี่ปุ่นที่ประกาศในช่วงเช้าวันนี้ออกมาแย่กว่าที่คาดที่ระดับ 2.5% จากประมาณการณ์ขั้นต้นไว้ที่ 4.0% ทางด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีเหนือเปิด -0.15%
· นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00 – 33.15 บาท/ดอลลาร์ โดยมีภาพการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับภูมภาค และการแข็งค่าที่เกิดขึ้นมาจาก Flow ที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้น จึงทำให้ค่าเงินบาทหลุดแนวรับ 33.10 บาท/ดอลลาร์ และไปทำ New Low ในรอบ 29 เดือน และภาพรวมตั้งแต่ช่วงต้นปี จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่าไปแล้วประมาณ 8%