• ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 63.01 จุด หรือคิดเป็น +0.28% ที่ระดับ 22,331.35 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.15% ที่ระดับ 2,503.87 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +0.1%ที่ระดับ 6,454.64 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง 5 วันทำการ ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง 2 วันทำการ
ทั้งนี้ ดัชนี S&P500 ปิดปรับขึ้นได้เพียงเล็กน้อย ท่ามกลางหุ้นกลุ่มการเงินที่ปรับตัวขึ้นก่อนการประชุมเฟด ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทรงๆตัว ท่ามกลางการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังจากที่ร่วงลงในวาระก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี 5 ใน 11 หุ้นหลักของดัชนี S&P ปิดปรับตัวลดลง หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น จึงหนุนให้หุ้นกลุ่มการเงินปรับขึ้นตาม จากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะช่วยหนุนผลประกอบการของภาคธนาคาร แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อหุ้น Utilities ให้ปรับตัวลดลง
• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ ท่ามกลางการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ในรอบกว่า 7 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ยังคงรอคอยสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่สถานการณ์ตึงเครียดในเกาหลีเหนือผ่อนคลายลง
• ถ้อยแถลงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อ U.N. ในวันนี้ รวมทั้งการเลือกตั้งของเยอรมนีและนิวซีแลนด์ ก็อาจจะเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองให้เกิดขึ้นได้ในสัปดาห์นี้
• ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปิดปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ก่อนเข้าสู่การประชุมเฟดประจำเดือนก.ย. โดยกลุ่มนักลงทุนรอคอยสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดเป็นสำคัญ
• ดัชนีนิกเกอิเปิด +1.27% หลังจากที่ตลาดปิดทำการเมื่อวานี้ โดยได้รับอานิสงส์จากหุ้นกลุ่มผู้ส่งออก การซื้อขายบ้าน และหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวขึ้น หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในรอบ 7 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน
• นักบริหารเงิน ประเมินว่า วันนี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆระหว่าง 33.00 - 33.15 บาท/ดอลลาร์ และมีแนวโน้มจะอยู่ในทิศทางแข็งค่าต่อ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือการประชุมนโยบายการเงินของเฟด ขณะที่สัปดาห์หน้า จะมีการประชุมกนง.