• ตลาดหุ้นยุโรปเปิดร่วงลงเช้านี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงเครียดทางการเมืองที่กลับมาเป็นประเด็นต่อตลาดอยู่ในขณะนี้ โดยดัชนี European Stoxx600 เปิด -0.21% ท่ามกลางหุ้นภาคส่วนต่างๆที่เคลื่อนไหวในแดนลบ
กลุ่มนักลงทุนในตลาดยังคงมีความกังวลต่อเนื่องตามการร่วงลงของตลาดหุ้นเอเชีย ที่กังวลต่อการทดสอบขีปนาวุธไฮโดรเจนของเกาหลีเหนือ หลลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือ กล่าวว่า เกาหลีเหนืออาจทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งที่มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นการทดสอบขีปนาวุธขนาดใหญ่เป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังให้ความสนใจไปยังถ้อยแถลงของ นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกี่ยวกับประเด็นการเจรจากับอียู โดยนางเมย์อาจพร้อมแล้วที่จะจ่ายเงินจำนวน 2 หมื่นล้านยูโร (2.392 หมื่นล้านเหรียญ) ในช่วงส่งผ่านกรณี Brexit 2 ปีนี้ ขณะที่หัวหน้าผู้แทนการเจรจาจากอียู กล่าวว่า "เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ" และอีก 6 เดือนที่จะสิ้นสุดการเจรจานับตั้งแต่ที่ก้าวเข้าสู่การเจรจากรณีอังกฤษจะออกจากอียู
• ตลาดหุ้นเอเชียปรับลดลง ท่ามกลางการอ่อนค่าของค่าเงินเยนและค่าเงินฟรังก์ของสวิสเซอร์แลนด์ หลังเกาหลีเหนือเปิดเผยว่าอาจมีการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนในมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงความตึงเครียดจากสงครามน้ำลายระหว่างผู้นำสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับลดลง 0.7%
• ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี โดยดัชนี Nikkei ปรับลดลง 0.3% ที่ระดับ 20,296.45 จุด หลังเกาหลีเหนือประกาศอาจมีการทดสอบระเบิดไฮโดรเจน ส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือทวีคูณมากขึ้น
• นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากตัวเลขการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคมที่ขยายตัวได้ 13.2% นั้น มองว่า เป็นสัญญาณที่ดี ที่สะท้อนว่า เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเติบโตดีต่อเนื่อง และจะปัจจัยสำคัญที่ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. นำมาประเมินการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันคาดการณ์ที่ 3.6%
ขณะเดียวกัน กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ออกมาส่งสัญญาณว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครึ่ง ในเดือนธันวาคมนั้น มองว่า คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมแม้จะขยายตัวดี แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของนโยบายของประธานาธิบดีที่ยังไม่เห็นออกมาเป็นรูปธรรม ส่วนกรณีที่จะทำให้ค่าเงินบาทจะยิ่งแข็งค่าขึ้นหรือไม่นั้น มองว่า เป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จะต้องบริหารความเสี่ยงเอง โดยธปท. มีหลายเครื่องมือ ทั้ง การใช้เงินสำรองเพื่อบริหารจัดการค่าเงิน เป็นต้น
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดส่งออกของไทยทั้งปี 2560 มีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 7.0 YoY (คาดการณ์ปัจจุบันที่ร้อยละ 3.8) โดยช่วงระยะเวลา 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยคาดว่าจะยังขยายตัวเป็นบวกได้ ปัจจัยสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและวัฎจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทาให้สินค้าส่งออกศักยภาพ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงอาหารทะเลและไก่แปรรูป คาดว่าจะรักษาโมเมนตัมการเติบโตที่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2560