ประเด็นที่น่าจับตา:
* ผู้เชี่ยวชาญกำลังมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการปรับขึ้นระดับสูงของผลประกอบการ
* การปรับลดภาษีมีแนวโน้มจะกระตุ้นผลประกอบการให้ปรับตัวสูงขึ้น
* Citi Group ประมาณการณ์ว่า ทุก 1% ของการปรับลดภาษีนิติบุคคลจะส่งผลต่อผลประกอบการณ์ประมาณ 2 เหรียญ/หุ้น
ในช่วงเริ่มต้นการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 มีการจับตาไปปัจจัยที่จะทำให้ผลประกอบการปรับตัวขึ้นทำระดับสูงได้ โดยอาจได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการปรับลดภาษีของนายทรัมป์
ขณะที่ในช่วง 6 ไตรมาสระหว่างปี 2015 และ 2016 จะพบว่าส่วนใหญ่มีผลประกอบการอยู่ในแดนลบ จึงไม่แปลกใจที่เราเห็นการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเป็นทิศทาง Sideways หรือปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ผลประกอบการยังมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นได้ในไตรมาสที่ 3/2017 แต่อาจเป็นลักษณะของการชะลอตัว ซึ่งภาพรวมของผลประกอบการในกลุ่มของ S&P500 คาดว่าจะเติบโตได้ 6.2% ลดลงจากไตรมาสแรกที่อยู่ที่ระดับ 15.3% และไตรมาที่ 2/2017 ที่ระดับ 12.3%
การอ่อนตัวของประมาณการณ์นไตรมาสที่ 3 มาจากการเปรียบเทียบผลประกอบการระหว่างปีนี้กับปีที่แล้ว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและเทคโนโลยีเป็น ยกตัวอย่างเช่นการทำระดับต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว และการปรับขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่ 2 ปีนี้
อย่างไรก็ดี ภาพรวมผลประกอบการปีนี้ยังคงมีทิศทางการปรับตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ต่อในปี 2018 และนักวิเคราะห์บางส่วน คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P500 จะมีผลประกอบการต่อหุ้นเพิ่มขึ้นประมาณ 131 เหรียญ/หุ้น หรือคิดเป็น +10%จากปี 2016 ขณะที่ในปี 2018 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น +7% ประมาณ 140 เหรียญ
นอกจากนี้ การปรับลดภาษีของนายทรัมป์ ที่ลดภาษีนิติบุคคลลงมา 4% ที่ระดับประมาณ 23% อาจส่งผลให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น 8 เหรียญ และทำให้ในปี 2018 เพิ่มขึ้นจากระดับ 140 เหรียญ เป็น 148 เหรียญได้ แต่หากปราศจากการปรับลดภาษีผลประกอบการก็อาจอยู่แถวระดับ 6% จากระดับ 7%
ที่มา: CNBC