• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2560

    3 ตุลาคม 2560 | Economic News


 

·         ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรและค่าเงินเยน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ค่าเงินยูโรได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงในการลงประชามติโหวตแยกตัวของแคว้นคาตาโลเนียออกจากสเปน

ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 93.663 จุด จากระดับ 92.50 จุด โดยค่าเงินดอลลาร์ได้รับอานิสงส์จากข้อมูลกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมในเดือนก.ย.ที่ปรับตัวขึ้นในรอบกว่า 13 ปีเมื่อวานนี้ จากการเพิ่มขึ้นที่แข็งแกร่งของยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ขณะที่นโยบายปฏิรูปภาษีและแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค. ก็เป็นอีกปัจจัยที่เกื้อหนุนค่าเงินดอลลาร์

·         เหตุความรุนแรงเพื่อสกัดกั้นการลงประชามติในแคว้นคาตาโลเนียส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 800 รายจากเหตุปะทะระหว่างฝูงชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และก่อให้เกิดภาวะความกังวลต่อความเสี่ยงทางการเมืองเพิ่มขึ้นในยูโรโซน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่า ทางด้าน นายมาเรียโน ราฮอย นายกรัฐมนตรีเสปนเผชิญกับวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศ หลังจากที่ผลการลงคะแนนอย่างเป็นทางการของแคว้นคาตาโลเนียกว่า 90% เลือกที่จะแยกตัวออกจากสเปน

ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.57% แถวระดับ 1.1746 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้น 0.12ที่ระดับ 112.61 เยน/ดอลลาร์

·         สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีในเดือนก.ย. ที่ระดับ 60.8 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่พ.ค. ปี 2004 ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่และราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้น จึงบ่งชี้ถึงภาวะความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ แม้ว่าพายุเฮอริเคนฮาร์วีย์และเออมาร์ถูกคาดว่าจะบั่นทอนการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3

·         รายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ชี้ให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายภาคการก่อสร้างปรับตัวขึ้น 0.5ที่ระดับ 1.21 ล้านล้านเหรียญ โดยค่าใช้จ่ายในภาคการก่อสร้างถูกปรับลดลงสู่ระดับ 1.2ในเดือนก.ย. ขณะที่ภาพรวมรายปีค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบรายปี

·         รายงานจากเฟดแอตแลนต้าปรับคาดการณ์เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 สู่ระดับ 2.7% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.3%โดยคาดว่าตลาดจะได้รับแรงหนุนจากค่าใชจ้จ่ายภาคก่อสร้างในเดือนส.ค. และการเพิ่มขึ้นของภาคการผลิตที่แข็งแกร่งในเดือนก.ย.

·         นายโรเบิร์ต เคพแลน ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หรือไม่ แม้ว่าจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอคอยเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหรือการเริ่มปรับขึ้นสู่ระดับ 2% ซึ่งเขาเองจะต้องรอข้อมูลบางส่วนเพื่อให้แน่ใจต่อว่ามีความแข็งแก่รงเพียงพอที่จะหนุนให้เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งหากข้อมูลไม่เพียงพอเขาก็ไม่เห็นควรที่จะรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 ·         ราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 1 เหรียญ ท่ามกลางจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯและปริมาณผลผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกที่ปรับตัวขึ้น จึงสกัดการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง 67 เซนต์ หรือคิดเป็น -1.2% ที่ระดับ 56.12 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ไตรมาสที่ 3 ปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 20% ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวรายไตรมาสที่เพิ่มมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2004 โดยไปทำจุดสูงสุดในสัปดาห์ที่แล้วบริเวณ 59.49 เหรียญ/บาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 1.09 เหรียญ หรือคิดเป็น -2.1% ที่ระดับ 50.58 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นได้มากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2016

·         อิรักประกาศยอดส่งออกน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในเดือนก.ย. ขณะที่ผลสำรวจจากรอยเตอร์สชี้ให้เห็นว่า ภาพรวมกลุ่มโอเปกมีปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้น

·         รายงานจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐฯปรับขึ้น 6 แท่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงส่งผลให้จำนวนรวมเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 750 แท่น

·         เมื่อวานนี้ เกิดเหตุโศกนาฏกรรมในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา โดยรายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า คนร้ายได้ใช้อาวุธประเภทปืนไรเฟิลจู่โจมยิงกราดจากชั้นบนของตึกโรงแรมชั้น 32 เข้าใส่กลุ่มฝูงชนที่อยู่เบื้องล่างในงานคอนเสิร์ต ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 59ราย และบาดเจ็บอีก 525 ราย ก่อนที่คนร้ายจะฆ่าตัวตายหลังจากก่อเหตุ จึงนับว่าเป็นเหตุยิงที่รุนแรงที่สุดในสหรัฐฯยุคปัจจุบัน

ดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อว่าคนร้ายกระทำการเพียงคนเดียวโดยไม่มีผู้สนับสนุนหรือผู้อยู่เบื้องหลัง ขณะที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายIS อ้างว่าเป็นฝีมือของพวกเขา แต่รัฐบาลสหรัฐฯให้การปฏิเสธเนื่องจากไม่มีหลักฐานที่โยงไปถึงกลุ่ม IS

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com