· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ดัชนีดอลลาร์ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เฝ้าระมัดระวังว่าผลของข้อมูลการจ้างงานประจำเดือนก.ย.ในคืนนี้จะได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเช่นไร
· ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 93.851 จุด แต่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 93.92 จุด ที่เป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ที่ทำได้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยข้อมูลการจ้างงานคืนนี้
· ยอดขาดดุลการค้าสหรัฐฯในเดือนส.ค.ร่วงลงจากยอดส่งออกสินค้าและภาคบริการปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงเกินคาดในสัปดาห์
· ยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ปรับตัวขึ้นในเดือนส.ค. ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อสินค้าปรับตัวแข็งแกร่ง จึงบ่งชี้ว่าการใช้จ่ายภาคธุรกิจยังคงแข็งแก่รง และอาจช่วยชดเชยผลกระทบจากพายุเฮอริเคนฮาร์วีย์ และเออมาร์
· เครื่องมือ FedWacth ของ CME Group แสดงให้เห็นว่า เหล่าเทรดเดอร์มองโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.สูงขึ้นที่ระดับ 84% จากระดับ 78% ในสัปดาห์ก่อน
· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงหลังทราบรายงานการประชุมอีซีบีที่มีท่าทีผ่อนคลายทางการเงิน โดยค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.3% ที่ระดับ 1.1725 ดอลลาร์/ยูโร
· นายเจอโรม โพเวลล์ สมาชิกบอร์ดบริหารของเฟด กล่าวว่า การเพิ่มกฎและข้อบังคับไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไปสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินต่างๆ และทางรัฐบาลสหรัฐฯควรดำเนินด้วยความเหมาะสมและมีสมดุลในการตัดสินใจ
· นายแพทริก ฮาเกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดเฟีย กล่าวว่า สหรัฐฯยังคงมีอัตราการขยายตัวได้แถวระดับ 2% จนกว่าส.ส.ของรัฐบาลจะสามารถผลักดันแผนปฏิรูปภาษีเพื่อนหนุนเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น
· นายจอห์น วิลเลียม ประธษนเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ระบุว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปในระดับปานกลาง และเขายังมีมุมมองว่าการขยายตัวขึ้นของเงินเฟ้อจะส่งผลให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราอกเบี้ยได้พร้อมส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.นี้
อย่างไรก็ดี เฟดมีกำหนดการประชุมอีกครั้งในวันที่ 31 ต.ค. – 1 พ.ย. ซึ่งเป็นการประชุมที่ไม่มีกำหนดการกล่าวถ้อยแถลงของประธานเฟดหลังเสร็จสิ้นการประชุม
· บรรดาสมาชิกเฟดเริ่มมีความเห็นว่านโยบายปฏิรูปภาษีของนายประธานาธิบดีสหรัฐฯจะไม่สามารถช่วยหนุนเศรษฐกิจได้จริง โดยบางส่วนมองว่า นโยบายภาษีจะส่งผลให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ภาวะหนี้เสีย และอัตราเติบของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
กล่าวได้ว่า การปรับลดภาษีส่วนบุคคลและนิติบุคคลจะช่วยหนุนการเติบโตในระยะสั้นๆจากการที่ภาคครัวเรือนและธุรกิจมีการใช้จ่ายในตลาดมากขึ้น แต่ในระยะยาวจะส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นรวมถึงภาวัหนี้สินรัฐบาลที่สูงขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะประกาศชื่อของผู้ที่จะมาเป็นตัวเต็งในการเลือกประธานเฟดคนใหม่ภายในเดือนนี้
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 2% จากสัญญาณที่ว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะร่วมกันจำกัดการปรับลดกำลังการผลิตไปจนถึงปีหน้า จึ่งช่วยหนุนให้สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเหนือ 50 เหรียญ/บาร์เรล
ภาพรวมตลาดยังคงมีปัจจัยกดดันจากข้อมูลส่งออกที่ปรับตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐฯ และการกลับมาผลิตน้ำมันของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อย่างลิเบีย
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.2 เหรียญ หรือคิดเป็น +2.2% ที่ระดับ 57 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 81 เซนต์ คิดป็น +1.6% ที่ระดับ 50.79 เหรียญ/บาร์เรล
· นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวในสัปดาห์นี้ว่าจะร่วมมือกับกลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นๆ ปรับลดกำลังการผลิตต่อเพื่อหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าอาจปรับลดกำลังการผลิตไปจนถึงช่วงสิ้นปี 2018 แทนที่ข้อตกลงที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมี.ค. 2018
· นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียจะร่วมสนับสนุนต่อการเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศอื่นๆใหม่เกี่ยวกับข้อตกลงกาควบคุมภาวะอุปทานน้ำมัน