รายงานจาก Reuters ระบุว่า บรรดานักธุรกิจมือแนวหน้า เริ่มให้ความสนใจกับอาชีพนักการเมือง และเร่งหาเสียงให้กับตนเองเพื่อให้ได้รับตำแหน่งสำคัญของรัฐต่างๆ ภายใต้แรงบัลดาลใจจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอดีตนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บรรดานักธุรกิจหันเข้าหาเกมการเมืองของสหรัฐฯ แม้จะมีจำนวนเพียงแค่หยิบมือก็ตาม แต่บรรดานักประวัติศาสตร์และนักวิเคราะห์การเมืองต่างบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า บรรยากาศภายในทำเนียบขาวได้เปลี่ยนไปอย่างมากนับตั้งแต่นายทรัมป์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี
ยกตัวอย่างได้ เช่น นายฟิล เมอร์ฟี่ อดีตฝ่ายบริหารของกลุ่มบริษัท Goldman Sachs ปัจจุบันกำลังพยายามหาเสียงเพื่อท้าชิงตำแหน่งผู้ว่ารัฐนิวเจอร์ซี ซึ่งว่ากันว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจทางการเงินมากที่สุดคนหนึ่ง พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการช่วยหนุนชนชั้นกลาง ด้วยการกำหนดภาษีมห้กับผู้มีฐานะ และออกนโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
นายโรเบิร์ต สเตฟานโนสกี อดีตฝ่ายบริหารของ UBS Group ก็กำลังหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่ารัฐคอนเนตทิคัต พร้อมกับคู่แข่งซึ่งก็คือนายเดวิด สเตมเมอแมน อดีตผู้บริหารกองทุนเฮจฟันด์ แม้จะยังไม่มีว่าพวกเขามีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในรัฐคอนเนตทิคัตเช่นไรก็ตาม
ขณะที่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็ได้มีการแข่งขันกันหาเสียงในตำแหน่งผู้ว่ารัฐระหว่าง นายทอม สเตเยอร์ อดีตนักสิ่งแวดล้อมและผู้จัดการกองทุนเฮจฟันด์ของ Goldman Sachs และนายโจเซฟ แซนเบิร์ก อดีตฝ่ายบริหารของ Tiger Global Management LLC
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาว่าชี้ว่า หากบรรดานักธุรกิจเหล่านี้ต้องการที่จะชนะเกมการเมือง สิ่งสำคัญคือการสื่อสารและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน จึงจะสามารถเอาชนะใจประชาชนได้