· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงในคืนวันศุกร์หลังข้อมูลเงินเฟ้อยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แม้ว่าจะปรับตัวขึ้นได้จากราคาแก๊สโซลีนที่สูงขึ้น ประกอบกับข้อมูลยอดค้าปลีกสหรัฐฯก็ออกมาแข็งแกร่ง ท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์ที่ยังทรงตัวแต่ภาพรวมรายสัปดาห์ก็ยังคงร่วงลงในช่วง 5 สัปดาห์นี้
· รายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯปรับตัวขึ้นมากทีสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มวัตถุดิบก่อสร้างและกลุ่มยานยนต์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากพายุเฮอริเคนฮาวีย์ และเออมาร์
· ทางด้านดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 8 เดือน ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางราคาแก๊สโซลีนที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ภาพรวมของเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในภาวะอ่อนตัว จึงอาจจำกัดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้
· ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถวระดับ 93.072 จุด หลังจากที่ร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบริเวณ 92.749 จุด ซึ่งภาพรวมรายสัปดาห์ปรับอ่อนค่าลงประมาณ 0.75% ซึ่งเป็นระดับการอ่อนค่ามากที่สุดในช่วง 5 สัปดาห์
· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าเล็กน้อย 0.07% แถวระดับ 1.1821 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ประธานอีซีบี ระบุว่า ยูโรโซนจำเป็นที่จะต้องพึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอีซีบียังไม่สามารถจัดการให้เงินเฟ้อขยายตัวได้อย่างเพียงพอ โดยตลาดรอคอยการประชุมอีซีบีที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 26 ต.ค.นี้
· CNBC รายงานว่า นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ณ ที่ประชุมภาคการเงินการธนาคารนานาชาติ โดยมีมุมมองที่สดใสต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบกับแนวโน้มการปรับขึ้นของเงินเฟ้อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ พร้อมระบุว่า ผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเมื่อไม่นานมานี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวได้แต่ก็จะเป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น และในช่วงสิ้นปีก็จะสามารถรีบาวน์กลับได้
ถ้อยแถลงของเธอ ส่งผลให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ยังมีโอกาสที่เฟดจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคครั้งที่ 3 ในปีนี้ที่จะเป็นตัวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ โดยอาจเกิดขึ้นได้ในเดือนธ.ค.นี้
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะรับรองข้อตกลงนิวเคลียร์กับทางอิหร่านเมื่อปี 2015 พร้อมกล่าวเตือนว่าอาจดำเนินการยุติข้อตกลงดังกล่าวด้วย และสิ่งที่นายทรัมป์ทำ ส่งผลให้ทางเยอรมนีแสดงความคิดที่ไม่เห็นด้วย และมองเป็น “สัญญาณอันตรายและค่อนข้างยากเกินแก้ไข้” ท่ามกลางทีมบริหารของนายทรัมป์ที่พยายามติดต่อเจรจาวิกฤตนิวเคลียร์กับทางเกาหลีหนือ
รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนี กล่าวว่า หากสหรัฐฯยุติข้อตกลงนิวเคลียร์กับทางอิหร่านหรือมีมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่ออิหร่านก็อาจส่งผลให้อิหร่านเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และจะยิ่งทวีความอันตรายให้เกิดสงครามใกล้ๆยุโรป
· นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน กล่าวว่า นายทรัมป์ มีคำสั่งให้เขาพยายามเจรจาทางการทูตเพื่อลดความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ โดยให้พยายามใช้วิธีทางการทูตต่อไปจนกว่าแนวโน้มการทิ้งระเบิดลูกแรกจะลดลง
· ส.ส.สหรัฐฯ เผยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจสร้างความเจ็บปวดให้กับชาวอเมริกาที่มีรายได้น้อยที่ต้องการสิ้นสุดนโยบาย Obamacare ประกอบกับนายทรัมป์อาจเผชิญกับความยากลำบากในการมีส่วนร่วมกับการเจรจาพรรคเดโมแครต ท่ามกลางรัฐบาลสหรัฐฯที่อาจเผชิญปัญหา “Shutdown” ได้
ทางทำเนียบขาวประกาศว่าทีมบริหารพรรครีพับลิกันจะทำการยุจิตเงินจำนวนกว่าพันล้านเหรียญของผู้ประกันสุขภาพรายได้น้อย เพื่อเป็นการก้าวทีละขั้นในการยุตินโยบายโอบามาแคร์ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า การปรับลดดังกล่าวจะมีมูลค่ามากถึง 7 พันล้านเหรียญในปีนี้ และ 1 หมื่นล้านเหรียญในปีหน้า จึงสร้างความวิตกกังวลให้กับตลาดประกันและผู้ประกันตน รวมทั้งหุ้นบริษัทโรงพยาบาลด้วย
· วันเสาร์ที่ผ่านมา นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี แสดงความมั่นใจว่า ค่าแรงและเงินเฟ้อทั้ง 19 ประเทศในยูโรโซนมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่จะขึ้นได้ช้ากว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดทนรอแนวทางการดำเนินนโยบายจากอีซีบี
ทั้งนี้ แม้ว่าการขยายตัวของค่าแรงดูจะไม่ตอบรับกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อีซีบีก็ยังเชื่อว่าตลาดแรงงานไม่ได้รับผลกระทบทางโครงสร้างใดๆที่จะส่งผลต่อเงินเฟ้อให้ปรับตัวลง
นอกจากนี้ นายดรากี้ ยังกล่าวในที่ประชุม IMF เพิ่มเติมว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ในเชิงพาณิชย์ของยูโรโซนมีความยืดหยุ่น แต่ก็ไม่มีสัญญาณฟองสบู่ที่กระจายเป็นวงกว้างในตลาดยุโรป ดังนั้น เขาจึงยังไม่เห็นหลักฐานใดๆที่ว่าตลาดหุ้นยุโรปและตลาดพันธบัตรประสบกับภาวะ Overpriced ในยุโรป
· ในวันนี้ นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเดินทางถึงกรุงบรัสเซลล์ เพื่อเจรจากับ นายฌองคลอร์ด จุงเกอร์ ประธานอียู หลังจากที่มีการเริ่มเจรจา Brexit โดยทางอังกฤษคาดหวังว่าการเจรจาดังกล่าวอาจนำไปสู่การเจรจาเงื่อนไขทางการค้าในอนาคตได้
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. จากข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับการนำเข้าน้ำมันดิบที่แข็งแกร่งของจีน ขณะที่นายทรัมป์ ตัดสินใจที่จะไม่รับรองโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน รวมทั้งความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 92 เซนต์ หรือคิดเป็น +1.6% ที่ระดับ 57.17 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 85 เซนต์ หรือคิดเป็น +1.7% ที่ระดับ 51.45 เหรียญ/บาร์เรล
ภาพรวมสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบทั้งสองชนิดปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 29 ก.ย. โดยน้ำมันดิบ Brent สัปดาห์ที่แล้วปรับขึ้นได้เกือบ 3% ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้นได้กว่า 4%
· ยอดนำเข้าน้ำมันจีนปรับตัวขึ้นแตะ 9 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.ย. เฉลี่ยระหว่างม.ค. – ก.ย. มีปริมาณนำเข้า 8.5 ล้านบาร์เรล/วัน จึงแสดงให้เห็นถึงความต้องการพลังงานที่แข็งแกร่งของจีน
· ชาวเคิร์ดในอิรักมีการส่งทหารนับพันนายเข้าสู่เขตผลิตน้ำมันในเมือง Kirkuk หลังเผชิญภัยคุกคามจากรัฐบาลกลางอิรัก