· ค่าเงินดอลลาร์แตะระดับแข็งค่ามากทีสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่กลับมาขานรับต่อชัยชนะการเลือกตั้งของญี่ปุ่นที่สะท้อนว่าอาจมีการดำเนินนโยบาย Abenomics ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินฉบับพิเศษยังเป็นตัวกดดันค่าเงินเยนในทิศทางอ่อนค่า
เมื่อคืนนี้ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนที่ระดับ 114.1 เยน/ดอลลาร์ หรืออาจเรียกได้ว่าค่าเงินเยนนั้นมีการอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะกลับลงมาทรงตัวบริเวณ 113.69 เยน/ดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถวระดับ 93.91 จุด หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดวานนี้บริเวณ 94.017 จุด
ภาพรวมค่าเงินดอลลาร์มีการซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ครึ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยเหล่าเทรดเดอร์มีการคาดการณ์เกี่ยวกับประธานเฟดคนต่อไปที่อาจมีท่าทีคุมเข้มทางการเงินมากขึ้นในการดำเนินนโยบาย
· ขณะที่กระแสคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายปรับลดภาษีของสหรัฐฯได้เป็นตัวหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น อันจะเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 2 ปีปรับขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี บริเวณ 1.589%
· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า “เข้าใกล้ความชัดเจนอย่างมาก” เกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาว่าจะเลือกใครมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไป และดูเหมือนจะมีตัวเต็งในขณะนี้เหลือเพียง 3 รายเท่านั้น ได้แก่ นายเจอโรม โพเวลล์ สมาชิกบอร์ดบริหารเฟด, นายจอห์น เทย์เลอร์ นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลับแสตนฟอร์ด และนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี นายทรัมป์น่าจะประกาศผลก่อนเดินทางเยือนเอเชียในวันที่ 3 พ.ย.นี้
· นักวิเคราะห์บางส่วนมีมุมมองว่า หากนายทรัมป์ ตัดสินใจเลือกนางเยลเลน ให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ในส่วนของ Yield Curve ก็อาจปรับตัวขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอาจปรับตัวลง จากการที่เฟดมีท่าทีระมัดระวังในการพิจารณาการดำเนินนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ไม่ว่านายทรัมป์จะตัดสินใจเลือกนางเยลเลน หรือตัวเต็งคนอื่น ก็เชื่อว่า เฟดจะยังเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป รวมทั้งการปรับลดยอดงบดุลบัญชี และเชื่อว่าเฟดน่าจะทำการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จำนวน 3 ครั้งในปีนหน้า
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความผิดหวังต่อความเป็นไปได้ในการจำกัดการปรับลดภาษีในกลุ่มคนเกษียณของชาวสหรัฐฯ ผ่านโปรแกรมการออมเพื่อช่วยจ่ายค่าชดเชย จึงยิ่งตอกย้ำและสร้างความไม่มั่นใจว่าการดำเนินการดังกล่าวนั้นมีขึ้นเพื่อเป้าหมายเฉพาะกลุ่มคนร่ำรวยหรือไม่
· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมาแถวระดับ 1.17420 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการดำเนินแนวทางการจัดการความไม่สงบของสเปนในแคว้นคาตาโลเนีย หลังจากที่มีการลงประชามติแยกตัวเป็นอิสระจากสเปนเมื่อ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักลงทุนก็รอคอยความชัดเจนของการประชุมอีซีบีในวันพฤหัสบดีนี้ โดยมีกระแสคาดการณ์กันว่าอีซีบีจะมีท่าทีคุมเข้มทางการเงินมากขึ้น
· รัฐบาลกลางสเปนเรียกร้องให้คาตาโลเนียยอมรับการตัดสินใจของคาตาโลเนีย มิเช่นนั้นรัฐบาลกลางสเปนไม่มีทางเลือกนอกจากเดินหน้ายึดอำนาจรัฐบาลคาตาโลเนียชุดปัจจุบัน เนื่องจากกระทำการที่ขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากการทำประชามติแยกดินแดนทั้งที่เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ และจะเร่งจัดการเลือกตั้งระดับภูมิภาคภายใน 6 เดือนข้างหน้า เพื่อยับยั้งความพยายามแยกดินแดน
อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวถือเป็นวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 10 ปี ขณะที่ผู้นำชาวคาตาโลเนียยังคงยืนกรานที่จะแบ่งแยกดินแดน
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า ความเป็นประชานิยมหรือ Populism กำลังคุกคามประเทศในแถบยุโรป และเป็นปัจจัยที่กำลังสร้างความกังวลให้แก่กลุ่มนักลงทุน แม้ว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งเพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ตาม
อันจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นปีมานี้ มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่พรรคขวาจัดดูจะมีสิทธิได้รับชัยชนะมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งถือเป็นภาวะคุกคามทางการเมืองครั้งใหญ่ในยุโรป แม้ว่าในท้ายที่สุดพรรคก่อตั้งจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในประเทศดังกล่าวและช่วยลดความกังวลได้บางส่วน
· ประธานธนาคารกลางของจีนยังคงมีความกังวลต่อความเป็นไปได้ต่อภาวะฟองสบู่ที่จะเกิดขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนที่มีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และไม่คาดว่าการดำเนินการใดๆควรเกิดขึ้นทันที แต่ควรตรวจสอบระดับหนี้และอัตราการขยายตัวมากกว่า
ความกังวลครั้งใหญ่ของจีนมาจากระดับหนี้ในส่วนของภาคบริษัทและรัฐบาลท้องถิ่นที่พุ่งสูงขึ้น และรัฐบาลจีนจำเป็นต้องจำกัดการขยายตัวดังกล่าว ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างคาดหวังว่ากลุ่มผู้กำหนดนโยบายจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในปีนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นดูเหมือนจะเป็นความกังวลครั้งใหญ่ต่อภาคการเงินของจีน
· ราคาน้ำมันดิบปิดทรงตัว ท่ามกลางภาวะอุปทานที่ชะลอตัวลงในอิรักที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ประกอบกับจำนวนแท่นขุดเจาะสหรัฐฯแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวลง
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 38 เซนต์ ที่ระดับ 57.37 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดขึ้น 6 เซนต์ ที่ระดับ 51.90 เหรียญ/บาร์เรล
· แหล่งข่าวจากกลุ่มการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม ระบุว่า ยอดส่งออกน้ำมันดิบทางตอนใต้ของอิรักร่วงลง 110,000 บาร์เรล/วันในเดือนนี้ จากภาวะขาดแคลนผลผลิตในเมือง Kirkuk ทางตอนเหนือ
· รายงานจากบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯร่วงลงไปประมาณ 7 แท่น ที่ระดับ 736 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา