• ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.1% ที่ระดับ 113.32 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งพุ่งขึ้นจากระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ที่ระดับ 114.10 เยน/ดอลลาร์ โดยเป็นผลมาจากการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดที่ให้ความสนใจไปยังหันไปยังการเลือกประธานเฟดคนต่อไป
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลดลง 0.2% ที่ระดับ 93.741 จุด เมื่อเทียบกับสกุลหลักส่วนใหญ่
ด้านค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ระดับ 1.1762 ดอลลาร์/ยูโร แม้ว่าผลประกอบการของธนาคารกลางยุโรปจะเพิ่มขึ้นก่อนหน้าการประชุมอีซีบีในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มส่งสัญญาณการเลิกใช้มาตรการผ่อนคลายนโยบายทางเงิน
• ไม่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะตัดสินใจเลือก นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง หรือเลือกตัวเต็งคนอื่นๆ ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็จะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับลดยอดงบดุลฯ
Washington Crossing Advisors กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ Trading Nation ทางสถานี CNBC ชี้ว่า ในระยะสั้นจริงๆแล้วอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากเฟดน่าจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ และเชื่อว่าในปีหน้าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 3 ครั้ง
• บรรดานักลงทุนกำลังจับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่จะมีขึ้นในคืนวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกของยุโรป โดยเฉพาะจากถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี
• นายฌอง คล็อด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการ EU กล่าวว่า ทางสหภาพยุโรปจะสามารถบรรลุข้อตกลง Brexit กับทางอังกฤษได้อย่างยุติธรรมสำหรับทั้งสองฝ่าย และเผยว่า การเจรจาครั้งทีผ่านๆมาสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี โดยที่ไม่มีท่าทีขัดแย้งรุนแรงแต่อย่างใด
• รายงานจาก Reuters ระบุว่า เศรษฐกิจจีนในปี 2017 มีแนวโน้มจะขยายตัวได้ด้วยอัตรา 6.8% ขณะที่ในปี 2018 มีแนวโน้มจะขยายตัวได้ด้วยอัตรา 6.4% ท่ามกลางความแข็งแกร่งของเศรษบกิจในประเทศ แต่การเข้ามาควบคุมตลาดอสังหาฯ และการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน อาจส่งผลให้การขยายตัวถูกกดดันลงมาบ้าง
• รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจีน กล่าวว่า ยอดขาดดุลปีนี้ของจีนอาจน้อยกว่าเป้าหมายขาดดุลจำนวน 3% ของจีดีพี ท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ตามรายงานขงSCMP ขณะที่การเปลี่ยนแปลงระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และการตัดลดค่าธรรมเนียมของบริษัทอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้อย่างน้อย 1 ล้านล้านหยวน (1.509 แสนล้านเหรียญ) ในปีนี้
• รายงานจาก IEA ระบุว่า ปริมาณความต้องการน้ำมันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังขยายตัวได้อย่างน้อยจนถึงปี 2040 จากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ต้องพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil fuel) ในการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านประชากร การขนส่งสินค้าและการทำพลาสติก
ซึ่งการใช้น้ำมันในภูมิภาคดังกล่าวถูกคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 6.6 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2040 จากระดับ 4.7 ล้านบาร์เรล/วันในปัจจุบันนี้ จากจำนวนการใช้ยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 ใน 3ประมาณ 62 ล้านคัน
• ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นท่ามกลางการลดลงของปริมาณการส่งออกน้ำมันจากประเทศอิรัก ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มโปเปกที่มีการส่งออกมาที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ขณะที่มีคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันสหรัฐฯจะรายงานออกมาลดลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 5 เซนต์ ที่ระดับ 57.42 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 5 เซนต์ ที่ระดับ 51.95 เหรียญ/บาร์เรล