แผนปฏิรูปภาษีที่เปิดเผยออกจะมุ่งเน้นไปที่การปรับภาษีสำหรับภาคธุรกิจลงไปถึง 1 ล้านล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของยอดรวมทั้งหมด โดยปรับลดภาษีนิติบุคคลถาวรลงจากระดับ 35% สู่ระดับ20% ซึ่งจะทำภาครัฐสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีของภาคธุรกิจถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญในอีก 10 ปีข้างหน้า
ขณะที่แผนการปรับลดภาษีสำหรับรายบุคคล จะปรับลดระดับภาษีเหลือ 3 ระดับ ได้แก่ 12%, 25% และ 35% จากเดิมที่มีทั้งหมด 7 ระดับ โดยพิจารณาจากรายรับ ขณะที่คงระดับการจ่ายภาษีสำหรับผู้มีฐานะร่ำรวยไว้ที่ระดับ 39.6% เช่นเดิม จึงคาดว่าจะมีประชาชนกว่า 4.5 ล้านครัวเรือน ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายภาษีดังกล่าว
ผลประโยชน์สำหรับผู้เสียภาษีตามนโยบายที่รีพับลิกันเปิดเผยออกจาก จะแตกต่างกันออกโดยขึ้นอยู่กับระดับภาษีที่ต้องเสีย ซึ่งจะมีดังต่อไปนี้
โดยผู้มีรายได้ไม่ถึง 24,000 เหรียญ ไม่ต้องเสียภาษี สำหรับคู่สมรสที่มีรายได้รวมกันสูงกว่า 90,000 เหรียญขึ้นไป จะเรียกเก็บภาษี 12% คู่สมรสที่มีเงินได้รวมสูงกว่า 260,000 เหรียญ จะทำการปรับลดภาษีลงมาที่ระดับ 25% ขณะที่คู่สมรสที่มีเงินได้รวมสูงกว่า 1 ล้านเหรียญจะเรียกเก็บภาษีที่ระดับ 35% ขณะที่ภาษีคนโสดหรือผู้ยื่นแยกประเภทอาจจะเรียกเก็บครึ่งหนึ่งของจำนวนข้างต้น โดยผู้ทีจะถูกเรียกเก็บภาษีจำนวน 35% โดยจะคำนวณจากคนโสดที่มีรายได้ 200,000 เหรียญขึ้นไป
นโยบายภาษีดังกล่าวคิดเป็นการปรับลดภาษีลงถึง 1 เท่าตัวจากระดับปัจจุบัน สำหรับครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง โดยระดับภาษีคิดเป็น 24,000 เหรียญสำหรับคู่สมรส และ 12,000 เหรียญสำหรับรายบุคคลจากระดับปัจจุบันที่ 6,530 เหรียญ ทั้งนี้ รีบลิกันยังเสนอแผนปรับเพิ่มเครดิตของครอบครัวที่มีบุตร โดยระดับเครดิตจเพิ่มสู่ระดับ 1,600 เหรียญ จากระดับ 1,000 เหรียญในปัจจุบัน
สำหรับประชาชนที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรืออยู่ในวัยเกษียณ นโยบายภาษีจะยกเลิกเครดิตภาษี 15% นั้นไป ขณะที่ในปัจจุบัน ประชาชนเหล่านั้นสามารถยื่นกู้ได้ 7,500 เหรียญสำหรับคู่สมรส 5,000 เหรียญสำหรับคนโสด หรือ 3,750 เหรียญสำหรับคู่สมรสที่ยื่นกู้เดี่ยว
ที่มา:New York Times