• ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัว ท่ามกลางบรรดานักลงทุนให้ความสนใจไปที่การประกาศตัวการจ้างงานของสหรัฐฯที่จะเปิดเผยในคืนนี้ ขณะที่การประกาศชื่อให้นายเจอโรม โพเวล คณะกรรมการเฟด ให้เป็นว่าที่ประธานเฟดคนต่อไป ไม่ได้สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับตลาด
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 94.684 จุด เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่ปรับแข็งค่าขึ้นมากจากระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์ที่ระดับ 94.411 จุด
ด้านค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยนปรับอ่อนค่าลง 0.1% ที่ระดับ 114.00 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนครึ่งที่ระดับ 114.45 เยน/ดอลลาร์ ของเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบางในวันนี้เนื่องจากตลาดญี่ปุ่นหยุดเนื่องในวันแห่งวัฒนธรรม
• ในช่วงค่ำวันนี้เราอาจเห็นแรงซื้อกลับในค่าเงินดอลลาร์ได้จากข้อมูลเศรษฐกิจ อันประกอบไปด้วย ข้อมูลการจ้างงานประจำเดือนต.ค. และข้อมูลภาคบริการของสถาบันจัดการด้านอุปทานสหรํฐฯ
ซึ่งข้อมูลภาคแรงงานมีแนวโน้มจะรีบาวน์ขึ้นในเดือนต.ค. หลังจากที่เผชิญกับผลกระทบของพายุเฮอริเคนที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนก.ย. และข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้ของเฟด แม้ว่าการขยายตัวของค่าแรงมีความเป็นไปได้ทีจะชะลอตัว
• นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน จะหมดวาระลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 หลังจากที่ช่วยกอบกู้เศรษฐกิจสหรัฐฯให้ผ่านพ้นวิกฤติทางการเงินมาเป็นเวลาถึง 4 ปี โดยคนที่จะมารับช่วงต่อจากเธอคือนายเจอโรม โพเวล คณะกรรมการเฟด
• ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรตจากเดิมที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 0.5% ท่ามกลางมติที่เป็นเอกฉันท์ในการประชุมระหว่างสมาชิกบอร์ดบริหารของธนาคารกลาง ซึ่งรวมถึงนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าธนาคารกลางอังกฤษ
นายคาร์นีย์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยจะเป็นแบบ “อ่อนโยน” ท่ามกลางการคาดการณ์ของธนาคารกลางว่าอัตราเงินเฟ้ออังกฤษน่าจะขึ้นไปสูงสุดได้ที่ระดับ 3.2% ในเดือนตุลาคม และจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3% ได้ตลอดทั้งปี ขณะที่ภาพรวมรายปี อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 2.8%
ทั้งนี้ ธนาคารกลางยังคาดการณ์เศรษฐกิจอังกฤษจะเติบโตได้ 1.6% ได้ในปี 2018 และ 1.7% ในปี 2019 ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากคาดการณ์เมื่อการประชุมเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
• ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ท่ามกลางมาตรการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกส่งให้มีปริมาณอุปสงค์เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่นักวิเคราห์ออกมาชี้ ว่าปริมาณการผลิตอาจปรับลดลงอีก เพื่อชดเชยการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.4% ที่ระดับ 60.86 เหรียญ/บาร์เรล ปรับสูงขึ้น 37% จากระดับต่ำสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 0.5% ที่ระดับ 54.83 เหรียญ/บาร์เรล ปรับสูงขึ้น 30% จากระดับต่ำสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา