• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560

    6 พฤศจิกายน 2560 | Economic News


• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นหลังจากที่ทราบข้อมูลยอดคำสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงานอุตสาหกรรมกับข้อมูลภาคบริการที่ดีขึ้นเกินคาด จึงชดเชยกับการอ่อนตัวจากข้อมูลการจ้างงานที่ออกมาแย่กว่าที่คาดในช่วงต้นตลาด

ดัชนีดอลลาร์เช้านี้ทรงตัวบริเวณ 94.94 จุด หลังจากที่วันศุกร์ขึ้นไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 95.015 จุด

ค่าเงินยูโรกลับมาอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาแถวระดับ 1.1598 ดอลลาร์/ยูโร และเช้านี้ค่าเงินยูโรอยู่แถวระดับ 1.1604 ดอลลาร์/ยูโร ทางด้านค่าเงินเยนอ่อนค่าลงและใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค. บริเวณ 114.06 เยน/ดอลลาร์ และเช้านี้ปรับอ่อนค่าต่อบริเวณ 114.21 เยน/ดอลลาร์

• มูลค่าสัญญา Bitcoin ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 7,000 เหรียญได้เป็นครั้งแรกหลังจากที่มีการเพิ่มการถือครองมูค่าสัญญาเป็นสิบเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในตลาดแลกเปลี่ยน Luxembourg-based Bitstamp exchange สัญญา Bitcoin ไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 7,500 เหรียญ

• ข้อมูลการจ้างงานประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐฯขยายตัวได้หลังจากที่เผชิญกับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ข้อมูลอัตราค่าแรงชะลอตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ท่ามกลางสัญญาณเงินเฟ้อที่ยังคงอ่อนตัว

ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์สู่ระดับ 261,000 ตำแหน่ง ขณะที่ข้อมูลในเดือนก่อนหน้าปรับทบทวนจากระดับการจ้างงานที่ลดลงไปสู่ 33,000 ตำแหน่ง ดีดกลับมามีการจ้างงานที่ขยายตัวได้ 18,000 ตำแหน่ง

• ข้อมูลอัตราค่าแรงเฉลี่ยรายชั่วโมงในเดือนต.ค. อ่อนตัวลงไป 1 เซนต์ โดยได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากรายได้ของกลุ่มคนทำงานภาคอุตสาหกรรมการบริการที่หดตัวลง โดยข้อมูลล่าสุดอยู่ที่ระดับ 0.0% จากระดับ 0.5% ในเดือนก.ย. ขณะที่ภาพรวมรายปีอัตราค่าจ้างรายชั่วโมงขยายตัวได้ 2.4% ซึ่งถือเป็นระดับการขยายตัวที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ก.พ. ปี 2016 หลังจากที่ขยายตัวได้ 2.8% ในเดือนก.ย.

อย่างไรก็ดี ภาพรวมของภาคแรงงานในเดือนต.ค.ยังคงขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ตามที่เฟดประเมินไว้ในวันพุธที่ผ่านมาว่าตลาดแรงงานยังคงขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง และการชะลอตัวของข้อมูลค่าจ้างอาจทำให้คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนธ.ค.เปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั้งนี้ การขยายตัวของอัตราค่าจ้างจะเป็นปัจจัยที่หนุนมุมมองเงินเฟ้อให้ขยายตัวได้ 2% ตามเป้าของเฟด ซึ่งหากการขยายตัวของค่าแรงมีการชะลอตัว บรรดานักเศรษฐศาสตร์ก็มีมุมมองว่าอาจจะสร้างความยากลำบากในการดำเนินนโยบายของเฟดในการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวน 3 ครั้งในปีหน้า

• อัตราการว่างงานร่วงลงใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี บริเวณ 4.1% ในเดือนต.ค. จากระดับ 4.2% ในเดือนก่อนหน้า

• สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) รายงานกิจกรรมภาคบริการประจำเดือนต.ค. ขยายตัวออกมาได้อย่างแข็งแกร่ง โดยปรับตัวขึ้น 0.3% ที่ระดับ 60.1 จุด ซึ่งถือเป็นระดับการขยายตัวมากที่สุดในรอบ 7 ปี

• ข้อมูลจากธอมสัน รอยเตอร์สล่าสุด ระบุว่า เหล่าเทรดเดอร์มองโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 90.2% ในการประชุมวาระหน้า (ธ.ค.)

• รายงานจากสถาบัน JPMorgan Chase&Co ปรับเพิ่มคาดการณ์การจำนวนครั้งในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดปีหน้าว่าจะเกิดขึ้นได้อีก 4 ครั้ง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3 ครั้ง หลังข้อมูลการจ้างงานในเดือนต.ค. ยังคงสะท้อนมุมมองความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานภายในประเทศ

• นายนีล คาชคาริ ประธานเฟดสาขามินิแอโพลิส กล่าวว่า ยังคงไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ดังนั้น เฟดควรที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น ขณะที่ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ หลังจากที่นายเจอโรม โพเวลล์ คณะกรรมการเฟด ขึ้นมารับตำแหน่งประธานเฟดแทนนางเจเน็ต เยลเลน ในปีหน้า

• นายวิลเลียม ดัดเลย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก มีแผนจะเกษียณก่อนกำหนดภายในปี 2018 ขณะที่วาระของเขาจะหมดลงในเดือนมกราคมปี 2019 โดยนายดัดเลย์มีแผนจะหาผู้สืบทอดตำแหน่งกับคณะกรรมการเฟดให้สำเร็จภายในปีหน้า

• นายแกรี่ โคห์น ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า นโยบายปรับลดภาษีจะไม่มีผลย้อนหลังก่อนการบังคับใช้โดยเด็ดขาด แม้บรรดาส.ส.ในสภาคองเกรสบางส่วนจะเรียกร้องให้นโยบายปรับลดภาษีมีผลย้อนหลังอย่างน้อยในปี 2017 ก็ตาม

• นายพอล ไรอัน โฆษกประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า บรรดาส.ส.พรรครีพับลิกันกำลังระดมความคิดเพื่อปรับปรุงนโยบายภาษีภายในสัปดาห์นี้ แต่นายพอลคาดการณ์ว่า นโยบายภาษีของพรรครีพับลิกันที่นำเสนอไปจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีกำหนดการจะแถลงการณ์ภายในวันนี้ โดยเธอน่าจะกล่าวเน้นย้ำให้บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจระมัดระวังและเตรียมรับมือการถอนอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป ขณะที่เรื่องของข้อตกลงในการเจรจากับกับสหภาพยุโรป ยังคงไม่มีการยืนยันใดๆจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะทำการลงนามในสนธิสัญญา

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในคืนวันศุกร์ โดยน้ำมันดิบ WTI แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี หลังจากที่ข้อมูลจำนวนแท่นขุดเจาะของสหรัฐฯบ่งชี้ถึงภาวะที่อาจปรับตัวลง ประกอบกับคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปกและบรรดากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อื่นๆจะขยายข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตออกไป

น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.10 เหรียญ หรือคิดเป็น +2% ที่ระดับ 55.64 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ ก.ค. ปี 2015

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.45 เหรียญ หรือคิดเป็น +2.4% ที่ระดับ 62.07 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 38% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อมิ.ย. ปี 2017

โดยภาพรวมราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 ประเภทปรับตัวขึ้นได้กว่า 3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

• สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เกิดเหตุกราดยิงขึ้นในรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ โดยคนร้ายใส่เครื่องแบบภาคสนามพร้อมชุดเกราะกันกระสุนและใช้อาวุธเป็นปืนกลจู่โจม บุกเข้าไปกราดยิงประชาชนในโบสถ์แห่งหนึ่ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย และบาดเจ็บ 20 ราย ก่อนที่คนร้ายจะขับรถหลบหนีไปและถูกพบเสียชีวิตภายในเวลาต่อมา

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com