- นักวิเคราะห์จาก Bank of America Merrill Lynch คาด ทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเริ่มอ่อนกำลังลงในปี 2018 ขณะที่ดัชนี S&P 500 จะทำจุดสูงสุดที่ 2,863 จุด
- BoAML จะลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอย่างรวดเร็วทันทีที่เริ่มเห็นสัญญาณดังกล่าว
- การเปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นแบบ Active แทนแบบ Passive ของนักลงทุน จะเป็นสัญญาณชี้วัดว่าทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นใกล้จะจบลง
Bank of America Merrill Lynch (BoAML) รายงานข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2018 โดยระบุว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะยังเติบโตต่อได้ในช่วงต้นปี 2018 แต่จะอ่อนกำลังหรือสิ้นสุดลงในช่วงครึ่งหลัง
โดย BoAML คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มที่จะขึ้นไปทำจุดสงสุดได้ที่ระดับ 2,863 จุด หรือสูงขึ้น 11% จากระดับเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 2.75% ท่ามกลาง GDP สหรัฐนที่จะปรับขึ้นแตะระดับ 3.8%
การคาดการณ์ดังกล่าวได้พิจารณาถึงปัจจัย 3 อย่างด้วยกัน นั่นก็คือ
1) แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นการเงินจากเฟดและธนาคารกลางอื่นๆ
2) นโยบายปฏิรูปภาษีของสหรัฐน
3) การเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนจากกระแสคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทจะแข็งแกร่งขึ้น
ซึ่งภายหลังจากที่แรงหนุนทั้ง 3 ปัจจัยหมดลง ทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์ อาจจะสิ้นสุดลง
นายไมเคิล ฮาร์ทเน็ท หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ BoAML กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่ากระแสความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มที่จะเบาบางลง และเรามีแผนที่จะลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอย่างรวดเร็วทันทีที่เริ่มเห็นสัญญาณดังกล่าว”
บรรดา Indicators ที่ประเมินการถือครองสถานะในตลาดหุ้น เริ่มส่งสัญญาณที่การเข้าถือครองกองทุนแบบ Active จะสร้างผลกำไรได้มากกว่าการถือครองแบบ Passive ขณะที่ในปัจจุบัน การถือครองแบบ Passive ทำผลกำไรได้มากกว่าแบบ Active ถึง 4.76 แสนล้านเหรียญ รวมถึงยังส่งสัญญาณว่า สัดส่วนการเข้าถือครองหุ้นทุนภายในพอร์ตของนักลงทุนจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ63% จากเดิมที่ 61%
นอกจากนี้ นายฮาร์ทเน็ท ยังได้กล่าวให้คอยจับตาการขยายตัวของอัตราค่าจ้างในสหรัฐฯ โดย BoAML คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.5% และหนุนให้ดัชนีราคาผู้บริโภคขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 2.5% ซึ่งจะหนุนให้เฟดเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อได้ขยายตัวถึงระดับเป้าหมาย 2% แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากอัตราค่าจ้างล้มเหลวที่จะขยายตัว จะส่งผลให้สภาพคล่องของตลาดดำเนินต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวลดลง ซึ่งจะบ่งชี้ถึงสภาวะฟองสบู่ที่อาจดำรงอยู่ในตลาดไปจนถึงปี 2019 ส่วนทิศทางเศรษฐกิจขาขึ้นจะจบลงท่ามกลางความโกลาหลระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการเมือง
ที่มา: CNBC