พรรครีพับลิกันแห่งสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างนโยบายภาษีได้อย่างเป็นเอกฉันท์แล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งร่างนโยบายนี้จะถูกนำไปลงมติในสภาคองเกรสเป็นครั้งสุดท้าย ภายในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ดี ร่างนโยบายฉบับนี้จะปรับลดระดับภาษีนิติบุคคลจาก 35% ลงสู่ระดับ 21% จากเดิมที่สัญญาไว้ที่ 20% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับการปรับลดภาษีที่เป็นที่พึงพอใจต่อภาคธุรกิจ รวมถึงปรับลดระดับเพดานการเสียภาษีของผู้ที่มีรายได้สูง จากเดิมที่ระดับ 39.6% ลงมาสู่ระดับ 37%
สำหรับระบบภาษีขั้นต่ำาทางเลือก (Alternative minimum tax) จะถูกยกเลิกไปในร่างนโยบายฉบับนี้ เพื่อเป็นการบังคับให้บรรดาบริษัทที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศจะต้องเสียภาษีตามกฏหมาย และกำหนดเพดานระดับภาษีที่ต้องเสียให้กับทรัพย์สินภาครัฐและท้องถิ่นไว้ที่ระดับ 10,000 เหรียญ
นอกจากนี้ ร่างนโยบายจะยกเลิกการจ่ายภาษีสำหรับประชาชนที่ไม่ได้ครองครองประกันสุขภาพของรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายโอบามาแคร์ และอนุมัติให้สามารถขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ของรัฐอะแลสกาได้
ทั้งนี้ นายรอน จอนห์นสัน ส.ว. พรรครีพับลิกัน ให้กล่าวว่า การปรับลดระดับภาษีนิติบุคคลสู่ระดับ 21% จะช่วยให้นโยบายสามารถมีผลบังคับใช้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้กล่าวเมื่อคืนนี้ว่า หากเขาสามารถลงนามอนุมัตินโยบายภาษีได้ทันก่อนช่วงเทศกาลคริสต์มาส นโยบายก็จะมีผลบังคับใช้อย่างเร็วที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018
ทำเนียบขาวจะเปิดเผยรายละเอียดของร่างนโยบายฉบับปรับปรุงอย่างเป็นทางการ ในคืนวันศุกร์นี้
แนวโน้มการลงมติสัปดาห์หน้า
ถึงแม้หัวหน้าพรรครีพับลิกันจะออกมาแสดงความเชื่อมั่นต่อร่างนโยบายฉบับนี้ หนทางต่อไปสำหรับการลงมติร่างนโยบายในสภาคองเกรสสัปดาห์หน้าก็ยังคงดูไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากรีพับลิกันครองที่นั่งในสภาอยู่ที่จำนวน 52 ต่อ 48 ที่นั่ง เทียบกับพรรคฝ่ายค้านอย่างเดโมแครต ดังนั้น พรรครีพับลิกันจึงไม่สามารถสูญเสียเสียงสนับสนุนจากลูกพรรคได้เกิน 2 เสียง ขณะที่ ส.ว. รีพับลิกันจำนวน 3 คน ก็ยังไม่ได้แสดงความชัดเจนว่าจะโหวตสนับสนุนร่างนโยบายนี้หรือไม่
ระดับหนี้ของรัฐบาลที่สูงขึ้น
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า นโยบายปฏิรูปภาษีจะส่งผลให้รัฐบาลขาดรายได้มากขึ้น และส่งผลให้ระดับหนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านล้านเหรียญ จากระดับปัจจุบันที่ 20 ล้านล้านเหรียญ ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งพรรครีพับลิกันก็ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงร่างนโยบายปฏิรูปภาษี โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระดับหนี้สินรัฐบาลไปมากกว่าที่ประเมินไว้ในปัจจุบันมาโดยตลอด