เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวเร็วที่สุดรอบกว่า 2 ปี ในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและจะทรงตัวในปีหน้าจากนโยบายภาษีที่ผ่านสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้
ขณะที่ข้อมูลอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้ขอยื่นรับสวัสดิการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ซึ่งแนวโน้มพื้นฐานดังกล่าวยังคงสอดคล้องกับตลาดแรงงานที่ตึงตัว
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งละตลาดแรงงานที่ตึงตัว ส่งผลให้เหล่านักวิเคราะห์หลายท่านตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการลดภาษีมูลค่า 1.5 ล้านล้านเหรียญ
โดยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำ MUFG ระบุว่า เป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลออกนโยบายปฏิรูปภาษีในช่วงเศรษฐกิจเป็นขาขึ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเนื่องจากโดยทั่วไปจะใช้นโยบายดังกล่าวในสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นขาลงเท่านั้น
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในระดับปานกลางหลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายภาษีตัวใหม่ ที่ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเป็น 21% จากระดับ 35% ขณะที่บางส่วนมองว่าภาษีระดับต่ำจะนำไปสู่การซื้อหุ้นคืนและการชำระหนี้มากกว่าการลงทุนทางธุรกิจ
ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ลดลงจะนำไปสู่รายได้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะสูงขึ้นตามมา
ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์ด้านเครดิตและการวิจัยระดับโลกของ Moody's Investors Service in New กล่าวว่า การปรับตัวลดภาษีจะส่งผลให้เศรษฐกิจขยายประมาณ 0.1-0.2% เท่านั้น
โดยไม่เชื่อว่าการลดภาษีของบริษัท จะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายด้านการลงทุนทางธุรกิจ พร้อมคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในภาวะการจ้างงานเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะ overheat
ที่มา: Reuters