อนาคตของตลาดหุ้นสหรัฐฯดูมีท่าทีที่สดใสในปี 2018 เนื่องจากนโยบายปฏิรูปภีที่ตลาดเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน จะได้มีผลบังคับใช้เสียที แต่นักลงทุนก็ยังคงมีความระมัดระวังเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้มุมมองอันสดใสนั้นจบสิ้นลงไป
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ตลอดทั้งปี 2017 สามารถปรับตัวสูงขึ้นมาได้ถึง 20% ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนมากก็ยังเชื่อว่าทิศทางขาขึ้นของดัชนีจะยังดำเนินต่อไปใน 2018 เนื่องจากได้รับแรงหนุนหลักๆมาจากนโยบายปฏิรูปภาษี
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระมัดระวังสำหรับปี 2018 มีดังต่อไปนี้:
เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป
นักวิเคราะห์บางส่วนชี้ จังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดนั้น หากดำเนินการผิดจังหวะ ก็อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่สุดในรอบ2 ปี ต้องชะงักลงได้ ขณะที่คาดว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2018
การขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์บางส่วนมีความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจขยายตัวเร็วเกินไปท่ามกลางแรงหนุนจากนโยบายปฏิรูปภาษี สิ่งที่ตามมาคือการที่เฟดจำเป็นต้องเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมา
การเลือกตั้งกลางวาระ และความไม่มั่นคงทางการเมือง
บรรดานักลงทุนจะให้ความสนใจไปยังการเลือกตั้งกลางวาระ ซึ่งหากพรรคเดโมแครตสามารถช่วงชิงเสียงข้างมากในรัฐสภาไม่ว่าจะในส่วนของ ส.ส. หรือ ส.ว. กลับมาจากรีพับลิกันได้ ก็จะส่งผลในเชิงลบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง เนื่องจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจต้องหยุดชะงักลง
ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่อาจเลวร้ายลง
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจมาตลอดช่วงปี 2017 แม้ตลาดจะสลัดความกังวลจากประเด็นดังกล่าวมาได้บ้าง แต่ในปี 2018สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศก็มีแนวโน้มสูงที่จะกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในคาบสมุทรเกาหลี หรือตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ภายในปี 2018 จะมีการเลือกตั้งสำคัญของประเทศอิตาลี เม็กซิโก และบราซิลอีกด้วย
ความผันผวนระดับสูงกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นักวิเคราะห์บางส่วน คาดว่า ผลประกอบการภาคบริษัทสหรัฐฯจะปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้า เนื่องจากแผนปฏิรูปภาษี แต่บางส่วนกลับกังวลว่าแผนดังกล่าวอาจไม่เพียงพอต่อการปรับตัวขึ้นได้
ข้อมูลจาก Thomson Reuters ชี้ว่า ดัชนี S&P500 มีการซื้อขายที่ตอบรับกับข้อมูลผลประกอบการจำนวน 18.5 ครั้ง และไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2002 ได้ แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็อาจมีความกังวลเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
จากรูปแบบของ Citit's panic/euphria กำลังส่งสัญญาณว่ามีโอกาสกว่า 60% ที่ตลาดอาจเป็นขาลงได้ในปีหน้า ท่ามกลางสภาวะการเคลื่อนไหวอย่างผันผวนที่ยังต้องเฝ้าระวัง
การปรับร่วงของมูลค่าสกุลเงินดิจิตอล
สกุลเงินดิจิตอล โดยเฉพาะ Bitcoin ที่ปรับร่วงลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปีนี้ มีแนวโน้มจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯได้เช่นกัน โดยนักวิเคราะห์มองว่า หากราคา Bitcoinปรับร่วงลงไปอีก ก็มีแนวโน้มจะฉุดตลาดหุ้นสหรัฐนลงไปด้วยได้
ที่มา: CNBC