• ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักบริเวณ 89.127 จุด ปรับสูงขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 88.438 จุด จากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน หลังเฟดได้แสดงความเชื่อมั่นว่าอัตราเงนเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวนหลายครั้งในปีนี้
ขณะที่ภาพรวมรายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงไป 3.2%
นักวิเคราะห์จาก Barclays กล่าวว่า เฟดได้ส่งสัญญาณคุมเข้มทางเศรษฐกิจขึ้นเล็กน้อย แต่ค่าเงินดอลลารืไม่ได้ตอบรับมากนัก เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ทั้งนี้ หากค่าเงินดอลลาร์จะปรับแข็งค่าขึ้นมาได้ จำเป็นต้องอาศัยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเข้ามาช่วย
ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยนปรับอ่อนค่าขึ้นมา 0.2% บริเวณ 109.36 เยน/ดอลลาร์ จากระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนที่ 108.280 เยน/ดอลลาร์
สำหรับค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงมาอยู่แถวบริเวณ 1.2417 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับสูงสุดของเมื่อวันก่อน ที่ 1.2475 ดอลลาร์/ยูโร
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 2.75% หลังทราบถ้อยแถลงเฟดและยังคงเคลื่อนไหวแถวระดับสูงสุดในรอบ 8 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอายุ 2 ปี เคลื่อนไหวแถวระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปีบริเวณ 2.16% ก่อนจะอ่อนตัวลงมาบริเวณ 2.14%
• เฟดประกาศคงนโยบายทางการเงินในการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่รายงานการประชุมเฟดจะประกาศในวันที่ 14 ก.พ.นี้ และการประชุมครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 20-21 มี.ค. (รวมถึงการคาดการณ์และการแถลงข่าวใหม่)
ทั้งนี้ เครื่องมือ Fed Watch จาก CME Group ประเมินว่า เฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. ถึง 75%
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำ Moody ระบุว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจยังชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ซึ่งจากข้อมูล ADP เมื่อวานนี้ ชี้ให้เห็นว่าการจ้างงานภาคเอกชนในเดือนม.ค.เพิ่มสูงขึ้นจำนวน 234,000 ตำแหน่ง โดยมีการจ้างงานที่ดีขึ้นเป็นระยะเวลา 8 ปีติดต่อกัน ซึ่งมีการจ้างงานเพิ่มขื้นกว่า 2 ล้านตำแหน่ง ขณะที่ในระยะสั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงได้บ้างเนื่องจากไม่สามารถหาคนงานมาเติมตำแหน่งงานว่างได้ทั้งหมด
• นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบันจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันเสาร์นี้ และนายเจอโรม โพเวลล์ จะกลายเป็นผู้เข้ารับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ในวันดังกล่าว ก่อนเข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันจันทร์หน้า
• ผู้อำนวยการฝ่ายการวิเคราะห์จาก Hilliard Lyons เชื่อว่า เฟดจะสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ ท่ามกลางเงื่อนไขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แต่นั่นก็อาจฉุดรั้งให้เกิดแรงเทขายเข้ามาในตลาดหุ้นเมื่อมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่จะทำให้จำนวนตราสารหนี้เพิ่มสูงขึ้นและเพิ่มการแข่งขันกับตลาดหุ้น
• รายงานจาก CNBC ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เป็นอย่างน้อยจำนวน 2 ครั้ง โดยตลาดกลับมาให้น้ำหนักสูงกว่า 90% ที่เฟดน่าจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. ขณะที่ Bank of America and Jefferies มองว่าช่วงสิ้นปีอัตราดอกเบี้ยของเฟดน่าจะปรับขึ้นมาแถว 1.75% โดยเชื่อมั่นว่า เฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ระหว่าง 2-3 ครั้งในปีนี้ตามที่ทุกคนได้คาดการณ์ไว้
แต่เหล่าเทรดเดอร์บางรายกลับคาดว่า เฟดน่าจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ โดยรองประธานอาวุโสจาก Sit Fixed Incom Advisors กล่าวว่า ตามการคาดการณ์ของเรา เฟดน่าะจมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้น และน่าจะมีความมั่นใจต่อเงินเฟ้อที่จะปรับขึ้นได้ตามเป้าหมาย 2% ดังนั้น เราจึงคาดว่าเฟดจะทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ 4 ครั้งปีนี้
• นายหลี เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ให้สัญญาจะขยายการค้าขายกับอังกฤษและสนับสนุนการค้าเสรีทั่วโลก ระหว่างการเดินทางมาเยือนประเทศจีนของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจของอังกฤษที่ที่มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากความกังวลในภาวะ Brexit
• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า ประชาชนชาวยุโรปที่เดินทางเข้าอังกฤษ หลังจากปี 2019 ที่อังกฤษมีกำหนดการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ อาจต้องสูญเสียสิทธิ์บางประการไป จึงขัดแย้งกับข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปที่ให้อังกฤษยังคงรักษาสิทธิ์สำหรับประชาชนยุโรปเอาไว้หลังการจากถอนตัวออกไปเป็นระยะเวลา 2 ปี
ทั้งนี้ ความขัดแย้งดังกล่าว อาจเป็นประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อความยากลำบากให้การหาข้อตกลงร่วมกันระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปในการเจรจาครั้งต่อๆไป
• อัตราการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในจีน เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมายังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมของ Caixin ประกาศออกมาทรวตัวที่ระดับ 51.5 จุด เท่ากับของเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ขัดแย้งกับคาดการณ์ของรัฐบาลที่คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเริ่มชะลอตัวในช่วงต้นปี 2018
• ผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนจากสถาบัน Caixin/Markit ระบุว่า ภาคการผลิตรายย่อยและระดับปานกลางมีการขยายตัวเกินคาดแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือนที่ระดับ 51.3 จุด จากเดิมที่ระดับ 51.5 จุด ซึ่งการยืนเหนือระดับ 50 จุดได้ จึงบ่งชี้ถึงภาวะการขยายตัวในภาคการผลิต
• แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างน่าประหลาดใจในปีที่ผ่านมา แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ กลับคาดการณ์ว่าการจัดการที่ชะลอตัวในปีนี้จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางรัฐบาลที่เผชิญกับความพยายมลดระดับหนี้จำนวนมหาศาล และมลภาวะในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก ขณะที่ทางด้านวิศวกรรม การบริการ และการอุปโภคบริโภคที่เป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ภาพรวมในภาคอุตสหกรรมการผลิตก็อยู่ในแนวโน้มที่ดีในปี 2018 และยังคงดำเนินต่อไป โดยต้องจับตาไปยังเสถียรภาพของปริมาณอุปสงค์ในปีนี้
• รายงานจาก Reuters ระบุว่า การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในเอเชีย เริ่มต้นปี 2018 ด้วยทิศทางที่แข็งแกร่งและสามารถทำระดับสูงสุดในรอบหลายปีได้ ท่ามกลางปริมาณอุปสงค์ในสินค้าประเภทเทคโนโลยีที่มีมากขึ้นทั่วโลก
ขณะที่ผลสำรวจคาดว่า ภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนและสหรัฐฯก็มีแนวโน้มที่จะสามารถขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน จึงช่วยหนุนกระแสคาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกในปีนี้จะสามารถขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และช่วยหนุนตลาดหุ้นให้ทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อไป
• ตลาดการเงินสหรัฐฯดูจะมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเพิ่มขึ้นในปีนี้ เพราะได้รับแรงหนุนจากแผนการปรับลดภาษี ทีจะนำไปสู่โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น
โดยผลสำรวจ CNBC Fed Survey คาดการณ์ว่า จีดีพีสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นได้ 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปรับขึ้นประมาณ 0.5% จากประมาณการณ์เดิมของผลสำรวจในช่วงเดือนก.ค. ขณะเดียวกันผลสำรวจล่าสุดมีการปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีในปี 2019 งสู่ระดับ 2.7% จากระดับ 2.85% ของผลสำรวจเดิมในเดือนธ.ค.
อย่างไรก็ดี บรรดานักเศรษฐศาสตร์ ผู้จัดการกองทุน และนักกลยุทธ์ส่วนใหญ่มองว่าในช่วงสิ้นปี 2018 อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะอยู่ที่ 2.24% ขณะที่ปีหน้าน่าจะอยู่ที่ 2.8%
• ดร.เบรนด้า ฟริสเจรัลด์ (Brenda Fitzgerald) ผู้อำนวยการกระทรวงสาธารณสุขแห่งสหรัฐฯ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังประสบข้อกล่าวหาด้านความขัดแย้งทางการเงิน ซึ่งพบว่านางเบรนด้าทำการซื้อขายยาสูบและหุ้นของกลุ่มประกันสุขภาพในขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่
• ผลสำรวจจาก Reuters คาดว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสค่อนข้างต่ำที่จะสามารถปรับขึ้นเหนือระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรลไปได้ ท่ามกลางความขัดแย้งกันระหว่างการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและปริมาณการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของสหรัฐฯ
• ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ท่ามกลางความร่วมมือกันระหว่างบรรดาประเทศผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก ในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน จึงช่วยชดเชยข่าวที่ว่าปริมาณการผลิตของสหรัฐฯปรับสูงขึ้นสู่ระดับ 10 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นครั้งแรกในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 0.2% บริเวณ 64.87 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากปรับลดลงไป 0.4% ในช่วงตลาดก่อนหน้า ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.2% บริเวณ 69.04 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากปรับราคาขึ้นไป 3 เซนต์ ในช่วงตลาดก่อนหน้า