ถึงแม้ ดัชนี S&P 500 ได้ปรับร่วงลงไปกว่า 4.5% ในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา แต่บรรดานักกลยุทธ์หลายคน ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยังคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวสูงขึ้นมาได้ในระดับปานกลางในช่วงสิ้นปี โดยไม่ได้รับผลกระทบจากผลประกอบการของบรรดาบริษัทและอัตราดอกเบี้ย
โดยนักกลยุทธ์การลงทุนจาก Allianz Global ยังคงคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะสามารถขึ้นไปถึงระดับ 3,000 จุด หรือ +11% จากระดับปัจจุบัน ได้ภายในช่วงปลายปี 2018 พร้อมวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อปีที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้นเร็วเกินไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตลาดอาจต้องการเวลาพักฐานบ้าง และยังระบุว่าอีกว่า ในส่วนของหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นตั้งรับสามารถเคลื่อนไหวสูงขึ้นได้ทันทีหลังแรงเทขายในตลาดสิ้นสุดลง
โพลสำรวจโดย Thomson Reuters คาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 4/2018 ของดัชนี S&P 500 จะสามารถเติบโตขึ้นได้ 14% ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา บรรดาบริษัทจดทะเบียนในดัชนีกว่า 77.8% จากทั้งหมด 275 บริษัท ได้รายงานผลประกอบการที่เหนือกว่าการคาดการณ์ของเหล่านักวิเคราะห์ประมาณ 13%
นักกลยุทธ์จาก Nuveen ประเมินว่า ตลาดกังวลกับสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากเกินไป เนื่องจากอัตราเงินฟ้อที่เริ่มบ่งชี้ว่าจะขยายตัว นักลงทุนบางส่วนจึงคาดว่าเฟดอาจมีการปรับขึ้นอัตราดออกเบี้ยด้วยจำนวนครั้งที่มากขึ้น นอกจากนี้ ถึงแม้นโยบายปฏิรูปอาจทำให้เกิดความร้อนแรงในตลาดมากกว่าที่เฟดคาดไว้ แต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาสำหรับตลาดหุ้นในปีนี้
นักกลยุทธ์บางส่วนประเมินว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมาตั้งแต่สิ้นปี 2017 แล้ว หลังจากที่ดัชนี S&P 500 สามารถปรับขึ้นได้ถึง 19% ในปีนั้น และยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นได้อีก แม้จะปรับขึ้นได้ 2% เมื่อคืนนี้ สำหรับภาพรวมรายปี ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมาได้ 0.8% โดยทำจุดสูงสุดในรอบปีที่ 2,872.87 จุด เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์จาก Per Stirling Capital Management คาดการณ์ว่า ความเชื่อมั่นในตลาดจะกลับมาอีกครั้ง หากดัชนีสามารถทดสอบผ่านระดับต่ำสุดของวันก่อนหน้านี้ไปได้
อย่างไรก็ดี Chase Investment Counsel เป็นเพียงองค์กรเดียวที่ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯในปีนี้ โดยคาดว่าดัชนี S&P 500 จะทำจุดสูงสุดในปีนี้ได้แถวระดับ 2,909 จุด จากเดิมที่มองไว้ที่ 3,000 จุด
Thai
Eng