สถาบันการเงิน Capital Economics ไม่คิดว่าปีนี้ค่าเงินดอลลาร์จะอยู่ในทิศทางแข็งค่า ดังนั้น ผลสะท้อนนี้จึงน่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ
นักเศรษฐศาสตร์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์จาก Capital Economics คาดการณ์ว่า ในช่วงสิ้นปี 2018 ค่าเงินดอลลาร์จะปิดแถวระดับปัจจุบันนี้เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร และค่าเงินเยน แต่จะอ่อนค่าได้เล็ฏน้อยเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์ ขณะที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นได้ประมาณ 70 เหรียญ และซิลเวอร์จะปรับขึ้นได้ 0.5 เหรียญ
จึงทำให้คาดการณ์ของราคาทองคำมีการปรับทบทวนขึ้นมาจากระดับ 1,200 เหรียญ สู่ระดับ 1,270 เหรียญ ขณะที่ซิลเวอร์ปรับขึ้นจาก 15 เหรียญ สู่ระดับ 15.50 เหรียญ โดยไม่คิดว่าทองคำจะกลับเป็น “ขาขึ้น” โดยสมบูรณ์ เนื่องจากยังมีความเสี่ยงขาลงให้ต้องเผชิญอยู่ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ต้องระมัดระวังอยู่ คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
Capital Economics คาดว่า เฟดน่าจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จำนวน 4 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ตลาดยังคงมองไว้ที่ 3 ครั้ง และนี่จะเป็นผลลบต่อทิศทางราคาทองคำ ขณะที่การปรับขึ้นของเงินเฟ้อก็ดูไม่น่าจะเป็นการปรับขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างมากในปีนี้ เนื่องจาก Core CPI มีแนวโน้มจะอยู่แถว 2% ปีนี้ และประมาณ 2.5% ในปี 2019 และนั่นจะส่งผลให้เฟดตัดสินใจทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีนี้ และเมื่อนั้นก็จะกดดันต่อราคาทองคำ
* ปัจจัยอื่นๆที่จะส่งผลต่อทองคำ *
ปัจจัยอื่นๆที่จะส่งผลต่อทองคำ คือ ภาวะทรงตัวของอุปสงค์ในจีนและอินเดีย ซึ่ง 2 ประเทศนี้ถือเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ แต่ในระยะยาวคาดว่าทองคำจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นในปี 2019 เนื่องจากวัฏจักรการคุมเข้มทางการเงินของเฟดน่าจะสิ้นสุดลง และเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเผชิญกับสัญญาณขาลง
และในเวลาเดียวกัน ภาวะทางการเมืองโดยส่วนใหญ่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างความเสี่ยงให้เกิดขึ้นอยู่ และเมื่อนั้นการเข้าซื้อทองคำจะเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นตามมา แต่ทองคำก็ยังดูมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในกรอบ เนื่องจากความเสี่ยงดังกล่าวยังไม่สามารถประมาณการณ์ได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงทางการเมืองของสหรัฐฯและเกาหลีเหนือที่เจือจางลงไป
ขณะที่การปรับขึ้นของทองคำเมื่อวานนี้ นักวิเคราะห์จากคิทโก มองว่า เป็นผลสะท้อนหลังจากที่ร่วงลงไป จึงทำให้สภาวะในตลาดทองคำระยะสั้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
ที่มา: Kitco