• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน จากความหวังที่ว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือเรื่องอาวุธนิวเคลียร์จะจบลง หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯแสดงความตั้งใจที่จะยอมรับการเชื้อเชิญร่วมพูดคุยของทางผู้นำเกาหลีเหนือในเดือนพ.ค.นี้
ทั้งนี้ ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นไป 0.4% ท่ี่ระดับ 106.66 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ลงไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดบริเวณ 105.24 เยน/ดอลลาร์เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อเทียกับดอลลาร์ถือเป็นระดับอ่อนค่าของดอลลาร์มากที่สุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2016
ทางด้านค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.2310 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่อ่อนค่าลงไป 0.8% เมื่อวานนี้
อย่างไรก็ดี ค่าเงินเยนตอบรับต่อผลการประชุมบีโอเจในวันนี้เพียงเล็กน้อยหลังจากที่บีโอเจคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินตามคาด และตลาดกลับมาให้ความสนใจกับข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯในคืนนี้แทน
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศใช้นโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับเหล็กอีก 25% และอลูมิเนียมอีก 10% อย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่า การดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต่อการปกป้องความมั่นคงของสหรัฐฯ
ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากบรรดาผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเหล็ก นายทรัมป์ได้ประกาศให้ละเว้นการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับแคนาดาและเม็กซิโก เป็นการชั่วคราว พร้อมเปิดส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่อาจมียกเว้นให้กับประเทศอื่นๆเพิ่มเติม โดยบรรดาเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในทำเนียบขาว จะมีการเจรและประเมินคู่ค้าที่อาจได้รับการยกเว้นอย่างยุติธรรม ภายในระยะเวลา 15 วัน ก่อนที่นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจะมีผล
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เตรียมพร้อมที่จะเข้าพบกับ นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือในการประชุมครั้งแรกระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ จึงมีความเป็ฯไปได้มากขึ้นที่จะช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ลงไป
ขณะที่ทางการเกาหลีใต้ เปิดเผยกับทางทำเนียบขาว โดยระบุว่า นายคิม ให้สัญญาว่าจะทำการยุติอาวุธนิวเคลียร์ และการทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ในระหว่างการเจรจา หลังจากที่ทางเกาหลีใต้ได้เข้าพบกับทางเกาหลีเหนือเพื่อเจรจากันครั้งแรกในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี นายทรัมป์ มีการทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยระบุข้อความว่า การพบกันดังกล่าวยังเป็นแค่การวางแผนไว้เท่านั้น แต่ทางกาหลีใต้ มองว่า ภาพรวมก็ดูเหมือนนายทรัมป์มีความตั้งใจจะลดข้อขัดแย้งกับทางเกาหลีเหนือ และอาจส่งผลให้เกิดการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาได้รับตำแหน่งมาเลยก็ว่าได้
• ข้อมูลการขยายตัวของภาคแรงงานมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในเดือนก.พ. และมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นอัตราว่างงานสหรัฐฯปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 17 ปั บริเวณ 4.0% แต่เรื่องของค่าแรงถูกคาดว่าจะชะลอตัวลงหลังจากที่ปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง 3 เดือน
ทั้งนี้ รายงานจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า ข้อมูลภาคแรงงานจะตอกย้ำภาพรวมที่แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และจะเป็นปัจจัยที่ไปเกื้อหนุนโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ท่ามกลางตลาดการเงินส่วนใหญ่ที่ต่างคาดการณ์กันว่า จะเห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 20-21 มี.ค.นี้ ขณะที่คาดการณ์จำนวนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปัจจุบันอยู่ที่ 3 ครั้งในปีนี้
หัวหน้านักเศรษฐศาตร์จาก S&P Global Ratings กล่าวว่า ข้อมูลจ้างงานที่แข็งแกร่ง ประกอบกับข้อมูลค่าแรงที่สูงขึ้น จะยิ่งสร้างโอกาสให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จำนวน 4 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้
นักวิเคราะห์จากสถาบัน Nomura เสนอมุมมองเกี่ยวกับรายงานการจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯ คืนนี้ไว้ว่า หากข้อมูลยังคงสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ก็จะเป็นตัวกดดันให้เฟดเข้าสู่วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 20-21 มี.ค.นี้
• สำหรับภาพรวมของข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ จะเห็นได้ว่า การประกาศข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมานั้น มีการจ้างงานสูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 235,000 ตำแหน่ง จึงอาจสะท้อนถึงแนวทางการขยายตัวของข้อมูล Non-Farm Payrolls คืนนี้ได้
อย่างไรก็ดี มีกระแสคาดการณ์ว่า ข้อมูล Non-Farm Payrolls คืนนี้จะขยายตัวแถวระดับ 200,000 ตำแหน่ง แต่ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงกว่านี้ โดยเราต้องจับตาไปยังช้อมูลอัตราค่าแรงเฉลี่ยรายชั่วโมงด้วย หลังจากที่ข้อมูลในเดือนม.ค. สะท้อนว่าค่าแรงนั้นอยู่ที่ +2.9% เมื่อเทียบรายปี (สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 2.6%) จึงจุดประกายภาวะความกังวลด้านเงินเฟ้อ และสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้น ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐฐาลที่ปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นอ่อนตัว
ทั้งนี้ ข้อมูลค่าแรงที่แข็งแกร่งจะยิ่งกดดันให้เฟดคำนึงถึงการปรับขึ้นอัตรดาอกเบี้ย โดยเฉพาะอัตราว่างงานที่มีแนวโน้มลดลงสู่ระดับ 4.0% อันจะเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 17 ปี ดังนั้น จึงมีโอกาสเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ได้ทั้งหมด 4 ครั้งในปีนี้ จากคาดการณ์เดิมในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ที่มองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้จำนวน 3 ครั้ง ท่ามกลางการขยายตัวของค่าแรงต่อเนื่องที่จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น หลังจากที่ขึ้นไปทดสอบแนวต้านในช่วงกลางเดือนก.พ. ที่ผ่านมา
• ในการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือบีโอเจวันนี้ คณะกรรมการมีมติคงนโยบายการเงินไว้ดังเดิม พร้อมเผยถึงมุมมองเชิงบวกที่มีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น จนช่วยหนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่านโยบายผ่อนคลายทางการเงินของบีโอเจ กำลังช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อเติบโตสู่ระดับเป้าหมาย
สำหรับในด้านของอัตราดอเบี้ยระยะสั้น ทางบีโอเจก็มีมติคงอัตราไว้ดังเดิมที่ระดับ 0.1% รวมถึงคงเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ไว้ที่ 0% เช่นเดียวกัน
• ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBoC) เปิดเผยว่า จีนกำลังก้าวออกจากโมเดลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยค่อนข้างได้รับความไว้วางใจทางภาคการลงทุน และอาจจะใช้การกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งจีนจะเฝ้าระวังเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายในปีนี้ ขณะเดียวกันก็จะลดการให้ความสำคัญกับความเสี่ยงจากระดับหนี้ที่ก่อตัวขึ้น
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วน เชื่อว่า จีนจะคงระบบอุปทานทางการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยที่ทางการจีนอาจคุมเข้มต่อระบบทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
• สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่า ข้อมูลเงินเฟ้อจีนเดือนก.พ.ขยายตัวได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบรายปี นับตั้งแต่พ.ย. ปี2013 ที่ระดับ 2.9% จากเดิมในเดือนม.ค.ที่ระดับ 1.5% อย่างไรก็ดี ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน
• บรรดาประเทศในตลาดเอเชีย ดูจะตอบรับกับการลงนามในนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเชิงลบอย่างรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียและสหรัฐฯ
โดยญี่ปุ่นกล่าวถึงนโยบายดังกล่าวว่า จะส่งกระทบครั้งใหญ่ต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ขณะที่ทางจีนแสดงออกถึงการต่อต้านนโยบายนี้อย่างถึงที่สุด และทางเกาหลีใต้ได้ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาอาจมียื่นเรื่องฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก
นอกจากนี้ บรรดาประเทศในยูโรโซน บราซิล และอาเจนติน่า กล่าวว่าพวกเขาไม่ควรถูกรวมไปในนโยบายดังกล่าว พร้อมเปิดเผยว่าอาจทำการเจรจากับสหรัฐฯเพื่อขอให้ยกเว้นการขึ้นภาษีสำหรับพวกเขา ขณะที่ทางญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็แสดงความต้องการจะเจรจากับสหรับฯเพื่อขอให้ละเว้นภาษีสำหรับพวกเขาเช่นกัน
• คณะกรรมาธิการด้านการค้าของอียู กล่าวเมื่อวานนี้ว่า อียูเป็นประเทศพันธมิตรที่ใกล้ชิดสหรัฐฯ ดังนั้น ควรได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากสหรัฐฯ
• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น หลังตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ยินยอมที่จะพบปะกันในเดือน พ.ค.
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.3% บริเวณ 63.79 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 0.23% บริเวณ 60.25 เหรียญ/บาร์เรล