• ค่าเงินยูโรทรงตัวในทิศทางแข็งค่าจากคืนวานนี้ โดยตลาดได้รับอานิสงส์จากอีซีบีที่จะทำการลดการเข้าซื้อพันธบัตรในปีนี้ และมีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2019
ทั้งนี้ ท่าทีของเจ้าหน้าที่อีซีบีได้ส่งผลต่อคาดการณ์ตลาดเกี่ยวกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยช่วงกลางปีหน้า และมีการหารือเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการดำเนินการเรื่องดอกเบี้ย แม้ว่าเจ้าหน้าที่บางส่วนจะยังมีมุมมองว่าเงินเฟ้อเริ่มชะลอการฟื้นตัวลง
ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่า 0.4% ที่ระดับ 1.2336 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์ทรงตัว 1.4024 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 1.4088 ดอลลาร์/ปอนด์ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ 16 ก.พ.
ค่าเงินปอนด์ได้รับอานิสงส์จากการที่อังกฤษและอียูมีข้อตกลงสำหรับช่วง Post-Brexit ระยะเวลา 21 เดือน รวมทั้งมีโอกาสจะหาทางแก้ไขปัญหาพรมแดนกับทางไอร์แลนด์เหนือ จึงทำให้ค่าเงินปอนด์ขึ้นไปทำ High รอบ 1 เดือนได้เมื่อวานนี้
อย่างไรก็ดี ความแข็งแกร่งของค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ได้กดดันให้ภาพรวมของค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดวานนี้บริเวณ 90.345 จุด มาทรงตัวบริเวณ 89.951 จุด
• รายงานจาก American Bankers Association กล่าวว่า การประชุมเฟดในวาระ 20-21 มี.ค.นี้ จะเห็นเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% แม้ว่า นายนีล คาร์ชคาริ ประธานเฟดสาขามินนิีแอโพลิสจะเป็นหนึ่งเสียงที่คัดค้านแนวทางดังกล่าว เนื่องจากต้องการให้มีการคงระดับดอกเบี้ยเอาไว้ก่อน
ขณะที่คาดว่าคาดการณ์ของเฟดจะยังคงทิศทางเดียวกับคาดการณ์ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งจำนวน Dot Plot น่าจะแสดงให้เห็นถึงจำนวนการขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ที่ระดับ 3 ครั้ง โดยประมาณเป้าหมายของปีที่แล้วไว้ที่ 1.4% และปี 2018 มีเป้าหมายดอกเบี้ยที่ 2.1% และ 3% สำหรับปี 2019
สำหรับการตัดสินใจปรับเป้าหมายดอกเบี้ย สมาชิกเฟดได้ระบุถึงการเพิ่มขึ้นของตลาดแรงงานและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและกิจกรรมในประเทศที่ยังขยายตัวได้ในระดับปานกลาง จึงทำให้เฟดยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลาย แต่เฟดก็มีแรงหนุนบางส่วนจากความแข็งแกร่งของเงื่อนไขของตลาดแรรงงาน และทิศทางเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับขึ้นสู่ 2%
• นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายการตลาด ประจำSusquehanna Capital Group กล่าวว่า สองประเด็นหลักที่ตลาดจับตามองในการประชุมสัปดาห์นี้ คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งต่อไป
ข้อมูลจาก CME Group futures ระบุว่า มีโอกาสถึง 94% ที่เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ แต่หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่แปลกที่ดัชนี S&P 500 จะร่วงลง 3%
• กองทัพสหรัฐฯและเกาหลีใต้ จะกลับมาดำเนินการซ้อมรบร่วมกันอีกครั้งภายในเดือนหน้า หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายตัดสินใจชะลอการฝึกซ้อมลงเพื่อเปิดโอกาสให้เกาหลีใต้สามารถจัดงานกีฬาโอลิมปิก เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาได้ โดยการตกลงซ้อมรบร่วมกันต่อของทั้ง 2 ฝ่าย เกิดขึ้นท่ามกลางกำหนดการพบกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในเดือน พ.ค. นี้
• นายโนบุฮิสะ ซากาวะ อดีตประธานสำนักงานภาษี ที่เป็นผู้จุดประกายความตึงเครียดทางการเมืองในญี่ปุ่น เกี่ยวกับประเด็นการทุจริตที่ดินรัฐบาลของนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะขึ้นรายงานตนต่อรัฐสภาภายในวันที่ 27 มี.ค. นี้
• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1% โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ท่ามหลางความตึงเครียดทางตะวันออกกลางและความกังวลเกี่ยวกับการลดลงของผลผลิตในประเทศเวเนซุเอลา
ทั้งนี้ น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 0.9% ที่ระดับ 62.59 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 0.8% ที่ระดับ 66.56 เหรียญ/บาร์เรล