รัฐบาลจีนประกาศว่า พวกเขาไม่ได้เกรงกลัวต่อที่จะก่อสงครามทางการค้ากับสหรัฐฯ พร้อมตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯสู่จีน คิดเป็นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญ
โดยแผนขึ้นภาษีของจีน จะมุ่งเป้าหมายไปที่สินค้าประเภทเนื้อหมู อลูมิเนียมรีไซเคิล ท่อเหล็ก ผลไม้ และไวน์ ตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์จีน นอกจากนี้จีนยังมีแผนที่จะยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อให้ดำเนินการหาทางเจรจากับสหรัฐฯเกี่ยวกับการขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากทั่วโลกของพวกเขาอีกด้วย
การประกาศจากจีนเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มอวหมายให้นายโรเบิร์ต ไรท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐน ทำการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เป็นมูลค่าอย่างน้อย 5 หมื่นล้านเหรียญ นอกเหนือจากการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากนานาประเทศทั่วโลก ที่สหรัฐฯได้ประกาศไปในเดือนนี้เช่นกัน
ข่าวดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโอกาสเกิดสงครามทางการค้าขึ้นในตลาดหุ้น โดยดัชนีดาวโจนส์เมื่อคืนนี้ ปิดร่วงถึง 724 จุด หรือ 3% จึงเป็นอัตราการปรับลดลงที่มากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ ขณะที่หุ้นเอเชียส่วนใหญ่ก็เปิดในแดนลบเช้าวันศุกร์นี้
รายงานจากสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เผย สหรัฐฯกำลังพิจารณาที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนบางประเภทขึ้นอีก 25% เพื่อชดเชยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯจากนโยบายขึ้นภาษีของจีน โดยประเภทสินค้าที่จะเพิ่มภาษี ได้แก่ ชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบิน อุปกรณ์สำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และเครื่องจักรอุตสาหกรรม ทั้งนี้ สำนักผู้แทนการค้าจะมีประกาศอย่างเป็นทางการในอีก “ไม่กี่วัน”
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างการลงนามในนโยบายขึ้นภาษี โดยกล่าวว่า “แผนการขึ้นภาษีกับจีนได้มีการพิจารณาและดำเนินการมานานแล้ว เนื่องจากการค้ากับจีนไม่มีความยุติธรรมต่อสหรัฐฯ เพราะจีนได้ลักลอบนำทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯไปอย่างไม่เหาะสม ส่งผลให้สหรัฐฯเสียดุลการค้าไปมากกว่าหลายแสนล้านเหรียญ
นอกจากนี้ นโยบายนี้จะเป็นเพียงฉบับแรกเท่านั้น และจะมีมาตรการอื่นๆตามมาอีกทีหลัง"
บรรดาเจ้าหน้าที่ในรัฐสภาทั่วโลก ต่างออกมาเตือนว่า การก่อให้เกิดสงครามทางการค้าขึ้น จะกลายเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart และ Amazon ก็ได้ออกมาเตือนว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯจะทำให้ผู้บริโภคมีรายจ่ายมากขึ้น และบั่นทอนมูลค่าของตลาดหุ้นลง
นอกเหนือจากนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลาง ซึ่งมักจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ กลับออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาได้มีการเจรจากับผู้นำทางเศรษฐกิจในประเทศ และพบว่าพวกเขาต่างมีความกังวลกับนโยบายการค้าทั้งสิ้น
ขณะที่นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดคนล่าสุด ในการแถลงการณ์หลังการประชุมเฟด ได้กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการค้าไม่ได้โน้วน้าวให้เฟดพิจาณาเปลี่ยนมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่อย่างใด
สำหรับธนาคารกลางอังกฤษที่ได้มีการประชุมไปเมื่อคืนนี้ ได้เปิดเผยว่าการเพิ่มขึ้นนโยบายเชิงกีดกันทางการค้า จะส่งผลกระทบในทางลบอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังได้มีการออกคำสั่งให้เวลา 60 วัน สำหรับนายสตีเว่น มนูชิน เลขาธิการกระทรวงการคลัง ในการดำเนินการเขียนร่างนโยบายที่จะป้องกันไม่ให้บริษัทสัญชาติจีนสามารถทำการเข้าซื้อบริษัทสัญชาติสหรัฐฯได้ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่นายทรัมป์มองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนประจำสภาแอตแลนติก ได้ประเมินว่า การเติบโต้จากจีนอาจไม่ได้รุนแรงอย่างที่หลายๆฝ่ายวิตกกังวล เนื่องจากจีนยังคงต้องที่จะเจรจากับสหรัฐฯ แต่ความขัดแย้งอาจยิ่งย่ำแย่ลง และนำไปสู่การใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด อย่างการเทขายพันธบัตรเป็นมูลค่ากว่าแสนล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม จีนยังมีเวลาอีก 30 วัน ก่อนที่นโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้จริงๆ ขณะที่นายทรัมป์ยังได้สั่งการให้รับบาล กดดันให้องค์การการค้าโลกเร่งจัดการจีนในกรณีละเมิดลิทลิทธิ์อีกด้วย
ที่มา: Bloomberg