• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 4 เมษายน 2561

    4 เมษายน 2561 | Economic News


• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนและค่าเงินสวิสฟรังก์ ท่ามกลางปริมาณต้องการสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นที่เพิ่มขึ้น จึงช่วยหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมามีเสถียรภาพหลังจากที่ปรับอ่อนค่าลงไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ภาวะความตึงเครียดทางการค้าโลกยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินดอลลาร์อยู่ และนับตั้งแต่ต้นปีมานี้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาแล้ว 2%

ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้น 0.2% ที่ระดับ 90.18 จุด ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.3% ที่ระดับ 1.2269 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่า 0.6% ที่ระดับ 106.58 เยน/ดอลลาร์

• คณะบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 25% สำหรับสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่สำหรับผู้บริโภค ได้แก่ สินค้าจากกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี คมนาคม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมเป็นมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกดดันให้รัฐบาลจีนเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารสินทรัพย์ทางปัญญาจากต่างประเทศ

• เอกอัครราชทูตจีนกล่าวเตือนสหรัฐฯว่า จีนจะดำเนินการตอบโต้เช่นเดียวกันหากสหรัฐฯมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จึงยิ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า

ขณะที่ทางการจีนกล่าวประณามการจะประกาศแผนเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯที่จะคิดเป็นมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญจากสินค้านำเข้าของจีน พร้อมประกาศจะหามาตรการตอบโต้ที่สอดคล้องและแข็งกร้าวต่อสินค้าสหรัฐฯ

• ธนาคารกลางบราซิล กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนไม่มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก

• เมื่อวานนี้เฟดทำการประกาศแต่งตั้งให้ นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก มาดำรงตำแหน่งประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ที่ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวทางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผู้ที่มารับตำแหน่งคนใหม่ ที่ทางเฟดเมินเฉยต่อการหาตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อรับตำแหน่งประธานเฟดคนสำคัญ

• นางลาเอล เบรนาร์ด ผู้ว่าการฝ่ายปกครองของเฟด กล่าวว่า ยังเป็นเรื่องเหมาะสมกับแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าการปรับลดภาษีและนโยบายค่าใช้จ่ายภาครัฐบาลจะเป็นปัจจัยที่หนุนความเป็นไปได้ที่จะช่วยให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ดี ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับแรงกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มาจากนโยบายกระตุ้นทางการเงินสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ตลาดการเงินต่างๆเผชิญกับภาวะความผันผวนอย่างคาดไม่ถึงได้ และประเด็นดังกล่าวจะเป็นประเด็นที่เฟดเฝ้าระวังเพื่อหาแนวทางการตอบรับต่อภาวะที่จะเกิดขึ้นต่อภาคธนาคารต่างๆ

• เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงแผนที่เขาจะใช้กำลังทางทหารเพื่อปกป้องบริเวณพรมแดนของประเทศทางตอนใต้กับเม็กซิโกจนกว่ากำแพงพรมแดนจะแล้วเสร็จ ขณะเดียวกันเขาก็กำลังทำการพิจารณาอย่างจริงจังเกี่ยวกับการถอนกำลังทางทหารออกจากซีเรีย โดยคาดว่าจะตัดสินใจในเร็วๆนี้ เพื่อลดการสนับสนุนการส่งกองกำลังทหารในประเทศที่เผชิญสงคราม

นอกจากนี้ นายทรัมป์ แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมกับบทลงโทษของอังกฤษ ที่ดูจะสร้างความกังวลว่าจะเข้มงวดต่อรัสเซียเพิ่มขึ้น แต่นายทรัมป์ยังเชื่อว่า เขาและนายวลาดิเมียร์ ปูติน จะยังคงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

• นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แสดงความคาดหวังต่อแผนการเข้าพบกับกลุ่มผู้กำหนดนโยบายอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก เพื่อช่วยลดการปลดนักการทูตหลังเกิดกรณีลอบสังหารอดีตสายลับรัสเซียที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ

• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า แหล่งข่าวใกล้ชิด เผยว่า สหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก จะทำการประกาศข้อตกลงหลักเกี่ยวกับ NAFTA ฉบับปรับปรุงล่าสุดที่อาจมีแนวโน้มในการลำดับความสำคัญของเนื้อหาอย่างอัตโนมัติ ขณะเดียวกันประเด็นอื่นๆ น่าจะได้รับการดำเนินการตามมาในภายหลัง

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยได่รับแรงหนุนจากการกลับมาฟื้นตัวของตลาดหุ้นและสัญญาณการรีบาวด์ทางเทคนิคของราคาน้ำมันหลังจากที่ภาพรายวันปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบปี อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบ Brent ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรล

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 0.7% ที่ระดับ 68.12 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 0.8% ที่ระดับ 63.51 เหรียญ/บาร์เรล

Related
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com