MTS Help Center

โดยภาพรายเดือนจะเห็นได้ถึงแนวโน้มขาลงของค่าเงินยูโร ที่มีการแกว่งตัวลงมาต่อเนื่องจากระดับแนวรับตั้งแต่ปี 2008 - 2012 ก่อนจะหลุดลงมาในปี 2014

และการกลับตัวของค่าเงินยูโรอาจเป็นการยากที่จะประเมินได้ โดยภาพรายวันเป็นรูปสามเหลี่ยม Triangle หลังจากที่แกว่งตัวขึ้นจากระดับต่ำสุด พ.ย. 2017

ซึ่งจากภาพทางเทคนิคในช่วงครึ่งไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แนะนำให้หาจังหวะ Short ที่ระดับ 1.2407 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่นักลงทุนได้ทำการปิดทำกำไร ซึ่งหากค่าเงินยูโรยืนเหนือ 1.2448 ดอลลาร์/ยูโร จะกระตุ้นให้เกิดการทำ Stop-Loss และโดยภาพรวมค่าเงินยูโรร่วงลงต่ำกว่า 1.26 ดอลลาร์/ยูโร แนะนำให้ทำการ Wait&see จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินยูโรระยะยาวเป็นขาลง

• รายงานจาก Washington Post ระบุว่า นายไมค์ ปอมเปโอ ผู้บริหาร CIA และว่าที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีการพบกับนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ อย่างลับๆในช่วงวันหยุดในเทศกาลอีสเตอร์ที่ผ่านมาภายในเดือน เม.ย. นี้

การพบกันดังกล่าว เป็นการพบกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากทั้ง 2 ประเทศครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2000

ขณะที่รายงานจาก Reuters ก็ได้ยืนยันเช่นกันว่า การพบกันครั้งนี้ได้เกิดขึ้นจริง

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ทวีตผ่านทางทวิตเตอร์ในวันนี้ว่า ตนเองไม่ชอบข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และต้องการข้อตกลงในแบบทวิภาคีสำหรับสหรัฐมากกว่า

ข้อความในทวิตเตอร์ของทรัมป์ระบุว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต้องการให้สหรัฐหวนคืนสู่ข้อตกลง TPP นั้น ผมไม่ชอบข้อตกลงสำหรับสหรัฐ ยังมีเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นมากมายและไม่มีทางที่จะหลุดพ้นได้หากข้อตกลงไม่ได้เรื่อง ในขณะที่ข้อตกลงแบบทวิภาคีเองนั้นก็มีประสิทธิภาพมากกว่า สามารถทำกำไรได้มากกว่า และดีกว่าสำหรับแรงงานของเรา ซึ่งดูได้จากข้อมูลขององค์การการค้าโลกว่าแย่เพียงใดสำหรับสหรัฐ

• ผลสำรวจโดย Reuters แสดงให้เห็นว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษ จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ค. นี้ เพิ่มอีก 0.25% สู่ระดับ 0.75% ท่ามกลางมุมมองเชิงคุมเข้มทางการเงินที่บรรดาเจ้าหน้าที่จากธนาคารกลางอังกฤษได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้ ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของอังกฤษที่แข็งแกร่ง

• นักวิเคราะห์จาก JPMorgan ชี้ว่า หากการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบจากภาวะตึงเครียดทางการค้าก็อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงสิ้นปีนี้ เนื่องจากโอกาสการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศยังคงมีอยู่ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างทำการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระว่างกัน แต่ก็ยังคงมีแนวโน้มที่อาจเกิดสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศได้ แม้ว่าจะไม่เกิดอย่างเต็มรูปแบบ แต่หนทางการเจรจาก็ยังคงมีอุปสรรคอยู่ จึงทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า การแก้ไขปัญหาระหว่าง 2 ประเทศจะไม่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ เราจึงไม่เห็นผลกระทบที่เกิดกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจ แต่ก็อาจมีบางช่วงที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจเป็นในช่วงสิ้นปีนี้หรือปี 2019 ซึ่งทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจควรจะมีการเจรจาระหว่างกัน

• ทางการเกาหลีใต้ เผยว่า ทางเกาหลีใต้อาจพิจารณาเจรจาด้วยแนวทางสันติวิธีกับทางเกาหลีเหนือ เพื่อยุติประเด็นโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยการประชุมระหว่าง 2 ประเทศจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือจะเข้าพบกับ นายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และทั้งสองประเทศน่าจะเปิดเผยรายละเอียดเป็นแถลงการณ์ร่วมเพื่อยุติการเผชิญหน้ากันและความขัดแย้ง

นอกจากนี้ ผู้นำทั้ง 2 ประเทศยังอาจหารือร่วมกันถึงบริเวณเขตปลอดทหารจากพื้นที่ภายในประเทศของตนเองด้วย

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวลงและภาวะความเสี่ยงจากการลดอุปทานชะลอตัวลง

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 0.7% ที่ระดับ 72.07 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 0.7% เช่นเดียวกัน ที่ระดับ 67.01 เหรียญ/บาร์เรล