· ค่าเงินดอลลาร์ยังขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น หลังรายงาน Beige Book ชี้มุมมองของเฟดที่ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจากสัญญาณทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนมี.ค. ตลอดจนต้นเดือนเม.ย. ยังขยายตัวได้ในระดับปานกลาง
ในรายงานของเฟด ยังระบุว่า การกู้ยืมในภาคธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง และมีการใช้จ่ายของผู้บริโภคนั้นกำลังปรับตัวสูงขึ้น ควบคู่กับความแข็งแกร่งตลาดแรงงาน จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะสงครามการค้าทั่วโลกที่เป็นเพียงหนึ่งปัจจัยที่เป็นอุปสรรค
นอกจานี้ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแรงหนุนจากกลุ่มนักลงทุนที่คลายความกังวลต่อ Trade War ระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการโจมตีในซีเรียที่เบาบางลงไป
- ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้น 0.12% ที่ระดับ 89.626 จุด และมีกรอบการเคลื่อนไหวนับตั้งแต่กลางเดือนก.พ. ระหว่าง 88.253 – 90.932 จุด
- ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ก.ย. ปี 2008 บริเวณ 2.431%
- ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย 0.03% ที่ระดับ 1.2374 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้น 0.27% ที่ระดับ 107.28 เยน/ดอลลาร์
· นายวิลเลียม ดัดเลย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อเนื่องในปีนี้ ท่ามกลางอัตราคนว่างงานที่ปรับตัวลดลง และเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น ที่เป็นปัจจัยหลักต่อทิศทางการดำเนินการของเฟด และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 3.4% ในปี 2020 ซึ่งอาจเป็นระดับที่สูงกว่าปกติเล็กน้อยจากระดับ 3.0%
อย่างไรก็ดี ประธานเฟดสาขานิวยอร์กยังชี้ว่า “ค่อนข้างให้ความสำคัญ” กับประเด็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เพราะอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ก็ไม่คิดว่า Trade War จะเป็นเรื่องที่ดี
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตกลงร่วมกันที่จะยกระดับการค้าขายระหว่างสหรัฐฯและญี่ปุ่น โดยจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มปริมาณการลงทุนและการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
ขณะที่นายทรัมป์ ได้แสดงความหวังว่า ข้อตกลงในครั้งนี้ จะสามารถช่วยให้สหรัฐฯลดยอดขาดดุลทางการค้ากับญี่ปุ่นได้
· ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯยังแสดงความคาดหวังว่าการประชุมกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือจะประสบความสำเร็จ หลังจากที่เมื่อไม่นานมานี้ นายไมค์ ปอมเปโอ ผู้อำนวยการ CIA ได้เดินทางเยือนเกาหลีเหนือ แต่ก็กล่าวเตือนว่าเขาอาจจะยุติการเจรจาได้หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯได้รับงบประมาณเพิ่มเติมอีก 2 ร้อยล้านเหรียญ สำหรับโครงการพัฒนาระบบต่อต้านขีปนาวุธ หรือ THAAD ที่เป็นระบบที่ได้รับการติดตั้งลงในพื้นที่ของเกาหลีใต้เมื่อปีที่ผ่าน เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาไม่ได้สั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI จากการปฏิบัติหน้าที่สืบสวนความสัมพันธ์ของเขากับรัสเซียแต่อย่างใด จึงถือเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกับถ้อยแถลงของนายทรัมป์เองในปี 2017
ขณะที่ทางนายโคมีย์ ได้กล่าวตอบโต้ผ่านการสัมภาษณ์กับสำนักข่าว ABC ว่า “สิ่งที่นายทรัมป์พูดออกมาเกี่ยวกับเขาไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ไม่ได้เป็นความจริง แต่สิ่งที่สำคัญคือ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ยัดมั่นในหลักของความซื่อสัตย์ตามแบบอย่างของชาวอเมริกัน”
· สัญญาส่งมอบน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้นกว่า 3% ท่ามกลางการปรับตัวลดลงของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯและหลังจากซาอุดิอาระเบียส่งสัญญาณว่าต้องการให้ราคาน้ำมันดิบใกล้ถึงระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของ EIA ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับร่วงลง 1.1 ล้านบาร์เรลเนื่องจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยน้ำมันเบนซินและปริมาณการกลั่นได้รับแรงกดดันมากขึ้นกว่าที่คาดไว้จากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ในตลาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 2.9% ปิดที่ระดับ 68.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ปี 2014 ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ Brent ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 2.7% ปิดที่ระดับ 73.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
· แหล่งข่าว 3 ประเทศสมาชิกโอเปก เผย ซาอุดิอาระเบีย หรือหนึ่งในประเทศสมาชิกโอเปกมีท่าทีต่อคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบครั้งใหม่ โดยจะพึงพอใจมากที่ราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 80 เหรียญหรือ 100 เหรียญ ขณะเดียวกันทางซาอุดิอาระเบียไม่เปลี่ยนแปลงข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตใดๆจากเป้าหมายเดิม