นักวิเคราะห์จากธนาคารกลางสิงคโปร์ระบุว่า บรรดาประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ดูจะเป็นฝ่ายถูกกดดันในทุกๆครั้งที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือเมื่อราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น แต่ยังคงมีเหตุผลอีกมากมายที่เราควรลงทุนในพันธบัตรของบรรดาประเทศเหล่านี้
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารสหรัฐฯ มักจะส่งผลกระทบให้รัฐบาลหรือผู้ประกอบการในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ดบริหารหนี้สินได้ยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนถอนตัวออกจากตลาดเหล่านี้ และหันเข้าหาตลาดสหรัฐฯเพื่อผลกำไรที่สูงกว่า
อย่างไรก็ตาม อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนที่ไม่ควรปล่อยหลุดมือไป
“ผมคิดว่าบรรดาตลาดเกิดใหม่จะต้องเกิดความผันผวนแน่นอน หากเฟดทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เราไม่ควรดูถูกอัตราการเติบโตของตลาดเกิดใหม่” นักวิเคราะห์กล่าว พร้อมอ้างถึง World Bank และ Asian Development Bank ที่ได้ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตในปีนี้สำหรับบรรดาตลาดเกิดใหม่
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่า เฟดไม่น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยอัตราที่เร็วขึ้นแต่อย่างใด บรรดาตลาดเกิดใหม่จึงน่าจะสามารถบริหารความเสี่ยงในจุดนี้ได้ค่อนข้างง่าย
ขณะที่ราคาน้ำมัน แม้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ก็ไม่ได้ปรับขึ้นด้วยอัตราที่รวดเร็วมากนัก ผลกระทบที่จะเกิดกับตลาดเกิดใหม่จึงน่าจะถูกจำกัดลงมา
สำหรับตลาดเกิดใหม่ที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งที่สุด ดูเหมือนจะเป็นประเทศจีน ที่เป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลก ที่เพิ่งรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/2018 ไป โดยขยายตัวได้ 6.8% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 6.7%
ในส่วนของความกังวลว่าประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯนั้น อาจเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนต่อไปนั้น นักวิเคราะห์ประเมินว่า ทางประธานาธิบดีสหรัฐฯน่าจะมีการกดดันมายังจีนน้อยลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากจุดสนใจของเขาจะเบี่ยงเบนไปที่ประเด็นเกาหลีเหนือแทน
“สำหรับการดำเนินการกดดันเกาหลีเหนือของสหรัฐฯนั้น ทางสหรัฐฯจำเป็นจะต้องอาศัยการสนับสนุนจากจีน ดังนั้น การดำเนินการกดดันจีนในประเด็นทางการค้า จึงมีแนวโน้มที่จะอ่อนข้อลง” นักวิเคราะห์กล่าวเสริม
ที่มา: CNBC
