· ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน ท่ามกลางการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 ทรงตัว ขณะที่ตลาดส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
· ความเชื่อมั่นขาขึ้นของตลาดหุ้นเกิดขึ้นจากมุมมองบวกต่อทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์ศ ชี้ว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้ถูกคาดว่าจะขยายตัวได้เร็วที่สุดในปี 2010 แม้ว่าการกีดกันทางการค้าอาจกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญได้
อย่างไรก็ดีนักลงทุนมองว่ายังไม่มีข่าวใหม่ใดๆเกี่ยวกับการค้าจากทางสหรัฐฯ ในระหว่างการหารือร่วมกันของประธานาธิบดีสหรัฐฯและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
· หุ้นทรัพยากรปรับตัวขึ้นในตลาดเอเชีย ท่ามกลางราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2014 และถ่านหินลิกไนท์ที่ฟื้นตัวและหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาด แม้ว่าความเป็นไปได้ที่เงินเฟ้อทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นจะเข้ากดดันสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ก็ตาม
โดยวันนี้น้ำมันดิบ Brent ทะยานขึ้นต่อจากเมื่อคืนอีกประมาณ 2.7% ไปแถว 73.85 เหรียญ/บาร์เรล และน้ำมันดิบ WTI แตะ 68.73 เหรียญ/บาร์เรล โดยตลาดไม่สนความกังวลต่อการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ตอบรับกับข่าวที่ว่าซาอุดิอาระเบีย หนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโอเปกพึงพอใจต่อการเห็นราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาแถว 80 - 100 เหรียญ/บาร์เรล โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการปรับลดอุปทานตลาดโลกใดๆ
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มทรัพยากรยังได้รับอานิสงส์จาก หุ้นกลุ่ม Blue chips ของจีนที่ปรับขึ้น 1.1% และดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้น 0.9% ทางด้านหุ้นพลังงานพุ่งขึ้น 2.6%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่ผ่อนคลายว่าสหรัฐฯไม่ได้ทำข้อเรียกร้องทางการค้าใหม่ ในการพบกันระหว่างนายโดนัลด์ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯและนายซินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ดัชนี Nikkei ปรับขึ้น 0.15% ที่ระดับ 22,191.18 จุด หลังจากขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่บริเวณ 22,360.65 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของบริษัททรัพยากร เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นช่วยหนุนสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ ดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวสูงขึ้น 0.9% ที่ระดับ 3,117.38 จุด