อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับสูงขึ้นแตะระดับ 3% เป็นครั้งแรกใน 4 ปี ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยา เมื่อคืนที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังขยายตัว และเฟดก็ไม่มีท่าทีจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด
การปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับสำคัญทางจิตวิทยาของพันธบัตรที่ 3% ส่งผลให้บรรดานักลงทุนพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น และหันเข้าหาพันธบัตรที่เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า
ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถรักษาทิศทางขาขึ้นมาได้ต่อเนื่องถึง 9 ปีก็ตาม และพันธบัตรยังถือว่าเป็นทางเลือกในการสร้างผลกำไรที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น และเป็นที่นิยมอย่างมากกันในกลุ่มนักลงทุน จนกระทั่งเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทำให้เฟดต้องปรับอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ในระดับต่ำ
รองประธานสถาบัน D.A. Davidson ประเมินว่า การปรับตัวสูงขึ้นของพันธบัตร ทำให้ความน่าดึงดูดของหุ้นบางตัวถูกบั่นทอนลงไป โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนจะเริ่มไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ และคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเข้ามาในพันธบัตรอายุ 10 ปี หรือพันธบัตรที่มีอายุมากกว่านั้น
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี สามารถรับตัวขึ้นได้อย่างมั่นคง นับตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2017 จนสามารถขึ้นมาแตะระดับ 3% จึงเป็นปัจจัยที่ดึงนักลงทุนกลับเข้ามาในตลาดพันธบัตรและทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง โดยดัชนี S&P 500ปรับลงมา 1.4%
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีนักลงทุนบางส่วนที่ไม่ได้หันเข้าหาพันธบัตร เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูการรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทรายใหญ่ และคาดว่าอาจจะเป็นฤดูที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งมากที่สุดฤดูหนึ่ง
ประธานสถาบัน Via Nova Investment Management กล่าวว่า “ระดับ 3% ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังไม่ถือว่าเป็นระดับที่น่าซื้อนัก และนักลงทุนไม่ควรเทขายหุ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง และผลประกอบการสามารถปรับขึ้นมาได้ถึง 20% จากปีที่ผ่านมา”