· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง หลังจากที่ นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี ยังคงมีท่าทีที่แข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจยูโรโซน แต่ก็ยังเลือกคงนโยบายดอกเบี้ยไว้ รวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรอย่างน้อยจนถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้ ขณะที่การถือครองสถานะ Short ในดอลลาร์นั้นปรับลดลงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ
ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนม.ค. ที่ระดับ 1.211 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นติดต่อกัน 8 วันทำการที่ระดับ 91.637 จุด ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ 12 ม.ค. เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าเงินเยนปรับอ่อนค่าขึ้นไปทำ High รอบ 2 เดือนครึ่ง ที่ระดับ 109.46 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ล่าสุดทรงตัวแถว 109.32 เยน/ดอลลาร์
· นักวิเคราะห์จาก CNBC ระบุว่า หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเหนือ 3% ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทีระดับ 3.035% ก็มีโอกาสจะทดสอบ High เดือนม.ค. ปี 2014 บริเวณ 3.05% ซึ่งหาก Break ได้มีโอกาสเห็นอัตราผลตอบแทนปรับขึ้นต่ออย่างรวดเร็วและมีโอกาสเห็น 3.20/3.25% ซึ่งน่าจะแตะ 3.20% ได้ในช่วงสิ้นปี
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าไม่เพียงแต่ตลาดหุ้นที่เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้น เนื่องจากปกติ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมักเคลื่อนไหวตรงข้ามกับราคาหุ้น แต่ต้องจับตามายังราคาน้ำมันดิบด้วย เพราะจะสะท้อนถึงเงินเฟ้อและนั่นจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนพันธบัตรด้วย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจในระยะสั้น 2 ตัว น่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร คือ จีดีพีไตรมาสแรกของสหรัฐฯ และข้อมูล PCE Price Index และ Personal Spending ที่จะประกาศในวันจันทร์หน้า ประกอบกับการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า ที่น่าจะยังไม่ทำการประกาศขึ้นดอกเบี้ย แต่ให้รอหลังประชุมว่าจะมีสัญญาณใดเพิ่มเติมหรือไม่เกี่ยวกับโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
· ถ้อยแถลงของประธานอีซีบีในเชิงเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในระดับปานกลาง และถึงแม้จะสูญเสียภาพขาขึ้นบ้างในบางประเทศและบางภาคส่วน แต่ภาพรวมนายดรากี้ยังเชื่อว่าจะเป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น และเงินเฟ้อยังมีโอกาสแตะเป้าหมายที่อีซีบีตั้งไว้ 2% ทำให้ให้นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า นายดรากี้ น่าจะรอจนถึงการประชุมในเดือนก.ค.นี้ เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจและให้สัญญาณชี้นำต่อแนวทางการถอนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินอีกครั้ง
· การประชุมบีโอเจในวันนี้ ถูกคาดว่าจะยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน รวมทั้งคาดการณ์เงินเฟ้อ ขณะที่เป้าหมายในปีงบประมาณปี 2019 คาดจะเห็นบีโอเจทำการปรับลดนโยบายกระตุ้นทางการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นเดียวกับบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก
· ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ อ่อนตัวลงในเดือนมี.ค. โดยได้รับแรงกดดันจากปริมาณอุปสงค์เครื่องจักรโรงงานที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 2 เดือนและยอดการขนส่งที่ลดลงจากค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ภาคธุรกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาสแรก
อย่างไรก็ดี ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน Durable Goods ขยายตัวขึ้นเกินคาดแตะระดับ 2.6% ในเดือนมี.ค. เพราได้รับอานิสงส์จากสัญญาสั่งซื้อเครื่องบิน ท่ามกลางยอดคำสั่งซื้อภาคคมนาคมและการลงทุนในภาคธุรกิจปรับตัวลงเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 เดือน
ขณะที่ Core Durable Goods ออกมาแย่ลงที่ระดับ 0.9% ขณะที่ข้อมูลในเดือนก.พ. ถูกปรับทบทวนลดลงมาที่ระดับ 0.1%
· จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานสหรัฐฯประจำสัปดาห์ที่ผ่านมาออกมาดีขึ้นเกินคาด และไปทำระดับต่ำสุดรอบ 48 ปี บริเวณ 209,000 ราย หรือลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 24,000 ราย โดยข้อมูลล่าสุดถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปี 1969 จึงบ่งชี้ว่าการชะลอตัวของข้อมูลการจ้างงานในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น
· ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จาก Reuters ที่ให้เห็นว่า จีดีพีสหรัฐฯมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงแตะระดับ 2% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ หลังจากที่ขยายตัวได้ 2.9% ในไตรมาสที่ 4/2017 ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯจะประกาศข้อมูลดังกล่าวในค่ำคืนนี้
· นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ได้เดินทางมาพบกันที่หมู่บ้านปันจุมมอน ซึ่งเป็นเขตปลอดทหารตั้งอยู่ระหว่างชายแดนเกาหลี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดทั้งคู่ยังคงอยู่ระหว่างการประชุมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายที่ยืดเยื้อมายาวนานกว่าหลายสิบปี
การประชุมระหว่างผู้นำเกาหลีเกิดขึ้นก่อนหน้าการประชุมระหว่างนายคิม และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค. หรือ ต้นเดือน มิ.ย.
· ขณะที่ทางนายทรัมป์ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนกำลังพิจารณาวันที่จะจัดการประชุมระหว่างเขาและนายคิม รวมถึงสถานที่ที่มีให้เลือกได้ 1 ใน 5 สถานที่สำหรับจัดการประชุม
สำหรับกรณีที่มีรายงานว่านายไมค์ ปอมเปโอ ผู้บริหาร CIA ได้เดินทางไปพบกับนายคิมเมื่อช่วงวันหยุดในเทศกาลอีสเตอร์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ได้ระบุว่าการเดินทางดังกล่าวของนายไมค์ ไม่ได้อยู่ในแผนการของคณะบริหาร
· นายแลรี่ คุดโลว์ ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาจะเดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อร่วมเจรจากับตัวแทนจากรัฐบาลจีนเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ โดยผู้ที่อาจร่วมเดินทางไปด้วย คือนายสตีเว่น มนูชิน เลขาธิการกระทรวงการคลัง และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ
ทั้งนี้ นายแลรี่ได้ระบุว่า หัวข้อของการเจรจาจะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาความขัดแย้งการค้าใน “ภาพรวม” ซึ่งจะคลอบคลุมปัญหาทางการค้าทั้งหมดระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี และนายแลรี่ยังแสดงความเชื่อมั่นการเจรจาจะสามารถประสบความสำเร็จได้
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะทำการเดินทางไปยังอังกฤษในเดือนก.ค. ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 13 ก.ค. แต่ก็ยังคงไม่ได้ให้รายละเอียดว่าการเดินทางครั้งนี้ไปเพื่อหารือในเรื่องใด เช่นเดียวกับนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ
· รายงานจากหนังสือพิมพ์เยอรมนี ระบุว่า คณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรปเชื่อว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะทำการตั้งเงื่อนไขที่ทางสหภาพยุโรปยอรับไม่ได้ ในการจะได้รับการยกเว้นภาษีการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม หลังจากที่มีการประกาศยกเว้นแก่ยุโรปเป็นการชั่วคราวจนถึง 1 พ.ค. นี้
อย่างไรก็ดี ทางคณะกรรมาธิการยุโรปจะปฏิเสธเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม ขณะที่นางอังเกลาร์ แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนียังคงจะทำการเจรจาข้อตกลงการค้ากับนายทรัมป์ในวันนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลของเยอรมนีคาดว่าสหรัฐฯน่าจะพิจารณาขยายระยะเวลาการยกเว้นออกไปจากวันที่ 1พ.ค.นี้ได้
· บรรดารัฐมนตรีการคลังยูโรโซนจะเริ่มต้นหารือถึงโครงการการช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซ โดยมุ่งเน้นถึงวิธีการที่กรีซใช้หนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากที่แผนปฏิรูปฉบับล่าสุดได้รับความเห็นชอบจากบรรดากลุ่มเจ้าหนี้
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากความเสี่ยงครั้งใหม่ที่สหรัฐฯจะทำการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ขณะที่ปริมาณผลผลิตน้ำมันดิบในเวเนซูเอลาปรับตัวลง ท่ามกลางอุปสงค์ทั่วโลกที่ฟื้นตัวขึ้น จึงช่วยลดผลกระทบจากภาวะการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 74 เซนต์ ที่ระดับ 74.74 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 14 เซนต์ ที่ระดับ 68.19 เหรียญ/บาร์เรล