• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดของปีนี้เมื่อเทียบกบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ แม้ว่าข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯจะออกมาน่าผิดหวัง แต่ก็ดูเหมือนจะส่งผลต่อตลาดเพียงเล็กน้อย โดยข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯยังคงผันผวน ซึ่งถึงแม้ข้อมูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯจะออกมาน้อยกว่าคาด แต่อัตราว่างงานกลับปรับตัวลงใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 17 ปีขึ้น ขณะที่อัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงปรับขึ้นได้เล็กน้อยเพียง 4 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.1% หลังจากที่เพิ่มขึ้นได 0.2% ในเดือนมี.ค. จึงส่งผลให้ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงของปีนี้ยังทรงตัวบริเวณ 2.6%
ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 28 ธ.ค. บริเวณ 92.9 จุด ก่อนจะอ่อนตัวกลับลงมาแถว 92.566 จุด แต่ภาพรวมของค่าเงินดอลลาร์ก็ยังมีแรงหนุนจากแนวโน้มที่เฟดจะยังปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางอื่นๆ อย่างอีซีบี ก็มีแนวโน้มจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นกัน
• นักวิเคราะห์ ระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์สามารถ Break ขึ้นมายืนเหนือระดับเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วันได้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบปี เพราะได้รับแรงหนุนจากกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ และกลุ่มนักลงทุนอื่นๆ จึงทำให้มีการ Cover Short บางส่วนในดอลลาร์ และเห็นถึงการปรับขึ้นของดอลลาร์ตามมา
· รวมถ้อยแถลงสมาชิกเฟด
- นายวิลเลียม ดัดเลย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความแข็งแกร่งและเงินเฟ้อมีการขยับใกล้เป้าหมาย 2% ที่เฟดกำหนด แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะประกาศถึงความสำเร็จในด้านการขยายตัวของเงินเฟ้อ
- นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อเนื่อง ขณะที่เงินเฟ้อดูจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นได้ในทันทีทันได้ แต่ภาพรวมก็มีการขยับขึ้นสู่เป้าหมายที่เฟดกำหนด
อย่างไรก็ดี ในเดือนมิ.ย. นายจอห์น วิลเลียม จะกลายมาเป็นประธานเฟดคนใหม่แทน นายวิลเลียม ดัดเลย์ ที่ดูเหมือนจะมั่นใจต่ออัตราเงินเฟ้อในการขยายตัวสู่เป้าหมาย 2% ที่เฟดกำหนด
- นายราฟาเอล บอสติค ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า กล่าวว่า เฟดควรทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดภาษีและค่าใช้จ่ายรัฐบาลครั้งใหม่ ซึ่งโดยภาพรวมเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยได้จำนวน 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หรือมากสุดปีนี้ปรับขึ้นได้เป็นจำนวน 4 ครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่แสดงออกมา
- นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดควรปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางความกัดดันในเรื่องค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นที่อาจมีต่อไปอีกในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า
- นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัสซิตี้ ระบุว่า ขณะนี้เฟดมีการบรรลุเป้าหมายจ้างงานและเงินเฟ้อ จึงถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เฟดจะปรับนโยบาย รวมทั้งยอดงบดุลในพอร์ตด้วย
อย่างไรก็ดี เธอก็มองว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่ายในการดำเนินการของภาคธนาคารขนาดใหญ่ต่างๆ ดังนั้น เราจึงควรมั่นใจว่าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในปัจจุบันจะสามารถหนุนให้เกิดความยืดหยุ่นในระบบการเงิน
- นายแรนดัล ควอเลส สมาชิกบอร์โบริหารของเฟด กล่าวว่า เฟดจะไม่กำหนดเป้าราคาสินทรัพย์ และจะไม่ทำการปรับดอกเบี้ย หากตลาดหุ้นมีความผันผวน
• สื่อจีนรายงานว่า การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีความคืบหน้าในทิศทางเชิงบวกหลังจากที่เจรจาร่วมกันในช่วง 2 วันที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังมีมุมมองทางการค้าที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ขณะที่แหล่งข่าววงใน เผยว่า ตัวแทนจากทีมบริหารของนายทรัมป์ พยายามเรียกร้องที่จะลดยอดขาดดุลทางการค้ากับจีนที่มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญภายระยะเวลา 2 ปี พร้อมกดดันให้จีนชะลอการพัฒนาเทคโนโลยี จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายดูจะมีจุดยืนที่ขัดแย้งต่อกันอยู่ในประเด็นนี้ แต่ก็ยังไม่มีรายงานที่บ่งชี้ว่าการเจรจาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด
รายงานจาก CNBC เผยข้อเรียกร้องสำคัญของทางสหรัฐฯ ดังนี้
1) จีนจะต้องทำการลดยอดเกินดุลประมาณ 1 แสนล้านเหรียญภายใน 1 ปี ที่จะเริ่มต้นในเดือนมิ.ย.นี้ และอีก 1 แสนล้านเหรียญในอีก 1 ปี
2) จีนจะต้องยุติการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการที่ผลิตที่ระบุว่าเป็นการ Made in China ในปี 2025 ที่จะครอบคลุมถึง 10 ภาคส่วน ประกอบไปด้วยสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา, อุปกรณ์การบิน, รถยนต์อิเล็กทรอนิกส์, วิทยาการหุ่นยนต์ และไมโครคอมพิวเตอร์
3) ยินยอมต่อข้อกำหนดของสหรัฐฯเกี่ยวกับการจำกัดการนำเข้าสินค้าภาคอุตสาหกรรมภายใต้ Made in China 2025
4) ทางการจีนต้องหาทางระงับ “การสอดแนมทางไซเบอร์” กับสหรัฐฯโดยทันที
5) เสริมความแข็งแกร่งของกฎหมายปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา
6) ยอมรับข้อจำกัดของการพัฒนาเทคโนโลยีตามที่สหรัฐฯกำหนดโดยไม่มีการต่อต้าน
7) ปรับลดภาษีนำเข้าสำหรับกลุ่มสินค้ากลุ่มที่ “ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ” จากเดิมที่ 10% สู่ระดับ 3.5% เท่ากับของสหรัฐฯ
8) เปิดรับการแข่งขันทางการค้าจากสหรัฐฯ สำหรับสินค้ากลุ่มเกษตรกรรมและภาคบริการ
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯมีการกำหนดว่า 2 ประเทศควรเข้าพบกันทุกๆไตรมาส (3 เดือน) เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการ ขณะที่ทางการจีนยังมองว่าการเจรจากับสหรัฐฯมีความเป็นไปในเชิงบวก และมีความเห็นในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีเสถียรภาพทางด้านการค้าของสองประเทศ เพื่อหาทางออกร่วมกันในเรื่องการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการค้า
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มีกำหนดการจะพบกันที่ทำเนียบขาวในวันที่ 22 พ.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการที่นายทรัมป์จะเข้าพบกับ นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ
ขณะเดียวกัน นายทรัมป์ เผยว่า มีการกำหนดวันและสถานที่สำหรับการเจรจากับทางเกาหลีเหนือแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ซึ่งเขาคาดหวังว่านี่อาจเป็นการเจรจาครั้งสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ ขณะที่ทางเกาหลีใต้เผยว่าอาจคัดค้านการถอนกำลังทหารสหรัฐฯออกจากพื้นที่
• เกาหลีเหนือ แสดงความตั้งใจที่จะยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯทำการคว่ำบาตรและสร้างแรงกดดันแต่อย่างใด พร้อมกล่าวเตือนสหรัฐฯไม่ให้สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน
• รัฐบาลตุรกีเผยจะทำการตอบโต้ หากสหรัฐฯออกกฎหมายที่จะยุติการขายอาวุธให้แก่ประเทศตุรกี หลังจากที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เผยรายละเอียดร่างนโยบายความมั่นคงรายปีมูลค่า 7.17 แสนล้านเหรียญ ซึ่งรวมไปถึงมาตรการการยุติการขายอาวุธแก่ตุรกีเป็นการชั่วคราว
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นประมาณ 2% ท่ามกลางสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ท่ามกลางอุปทานน้ำมันดิบทั่วโลกที่ยังคงตึงตัว และตลาดกำลังรอข่าวความเป็นไปได้เกี่ยวกับข้อตกลงฉบับใหม่ของสหรัฐฯและอิหร่าน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.29 เหรียญ ที่ระดับ 69.72 เหรียญ/บาร์เรล และระหว่างวันขึ้นไปทำ High ที่ระดับ 69.97 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นการแตะ High ระดับนี้ครั้งแรกนับตั้งแต่พ.ย. ปี 2014 และภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปิดปรับขึ้น 2.3%
สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.25 เหรียญ ที่ระดับ 74.87 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปรับขึ้นได้เพียง 0.3%
• รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน ระบุว่า ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯในการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ยังไม่เป็นที่ยอมรับของชาติมหาอำนาจทั่วโลกรวมทั้งอิหร่าน ขณะที่นายทรัมป์ กล่าวกับชาติพันธมิตรฝั่งยุโรปว่าต้องมีการแก้ไขข้อบกพร่องในวันที่ 12 พ.ค.นี้
ขณะที่ชาติมหาอำนาจฝั่งยุโรป ก็มีความต้องการให้ นายทรัมป์ ยังคงรักษาข้อตกนิวเคลียร์อยู่ในสัปดาห์นี้ แต่พวกเขาก็จะเริ่มดำเนินการปกป้องความสัมพันธ์ทางภาคธุรกิจระหว่างยุโรปกับอิหร่าน หากนายทรัมป์ยังเดินหน้าที่จะถอนตัวออกจากข้อตกลง
• นักวิเคราะห์จาก ANZ วิเคราะห์ว่า น้ำมันดิบ Brent อาจแตะ 80 เหรียญ/บาร์เรลได้ในช่วงสิ้นปีนี้ ท่ามกลางความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาวะอุปทานน้ำมันทั่วโลกตึงตัว แต่อุปทานน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นก็อาจเป็นปัจจัยที่จำกัดการปรับขึ้นของราคาน้ำมันได้