• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดปีนี้ เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีกระแสคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ ท่ามกลางเงินเฟ้อสหรัฐฯที่กำลังปรับขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่หนุนค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่เหล่าเทรดเดอร์ทำการปิดสถานะ Short ในค่าเงิน โดยดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ธ.ค. ปีที่แล้ว บริเวณ 92.974 จุด ก่อนจะอ่อนตัวลงมาบริเวณ 92.972 จุด
• เหล่าเทรดเดอร์เริ่มลดกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับกรอบเวลาที่อีซีบีจะทำการปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคออกมาน่าผิดหวัง โดยค่าเงินยูโรร่วงหลุด 1.19 ดอลลาร์/ยูโรเป็นครั้งแรกของปีนี้ หลังจากที่คำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเยอรมนี และความเชื่อมั่นนักลงทุนในยูโรโซนออกมาแย่ ขณะที่เมื่อวานนี้ค่าเงินยูโรร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 เดือนที่ระดับ 1.1896 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนจะขยับมาทรงตัวแถว 1.1924 ดอลลาร์/ยูโร
• ถ้อยแถลงสมาชิกเฟด
นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบที่แตะ 70 เหรียญ/บาร์เรล กำลังเป็นปัจจัยที่เพิ่มการขยายตัวของเงินเฟ้อ แต่แรงกดดันจากค่าแรงยังไม่เพียงพอที่จะหนุนให้เฟดเปลี่ยนแปลงมุมมองทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยได้
นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า กล่าวว่า เงินเฟ้อมีแนวโน้มขยับขึ้นได้แตะระดับเป้าหมาย 2% แต่เขาและสมาชิกเฟดยังเชื่อว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ พร้อมให้สัญญาณว่าหากค่าแรงเป็นไปตามคาดก็จะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น
นายโธมัส บาสกิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์คนใหม่ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำและเงินเฟ้อดูจะขยับใกล้เป้าหมายที่เฟดกำหนด
• ทางทำเนียบขาว เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจระดับสูงของจีนจะเดินทางเยือนสหรัฐฯในสัปดาห์หน้าเพื่อกลับมาเจรจาทางการค้ากับทีมบริหารของนายทรัมป์อีกครั้ง หลังจากที่การหารือกันในสัปดาห์ที่แล้วยังคงล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงร่วมกัน จากข้อเรียกร้องทางการค้าของสหรัฐฯ
• นายจิม แมสทิส รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสหรัฐฯ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงหามาตรการป้องกันด้านความมั่นคง อันหมายรวมถึงมาตรการที่อาจเข้มงวดในการกำกับดูแลการลงทุนของต่างชาติในสหรัฐฯ เพื่อขัดขวางความพยายามของจีนในการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของสหรัฐฯ
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีการเสนอต่อสภาคองเกรสให้ปรับลดค่าใช้จ่ายสำหรับภาครัฐลงอีก 1.5 หมื่นล้านเหรียญ โดยในจำนวนเงินดังกล่าว รวมไปถึงการลดค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการประกันสุขภาพเด็กลง 7 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นโครงการของพรรคเดโมแครต
ข้อเสนอดังกล่าวจึงได้รับกาต่อต้านจากนายชัค ชูมเมอร์ หัวหน้าพรรคเดโมแครต ที่ไม่พึงพอใจเนื่องจากเยาวชนชาวสหรัฐฯนับล้านๆคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ จำเป็นต้องพึ่งพาโครงการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อาวุโสในสภาได้ออกมาชี้ว่า ข้อเสนอของนายทรัมป์จะไม่สร้างผลกระทบมากนักต่อโครงการประกันสุขภาพเด็ก เนื่องจากเดิมทีแล้ว งบประมาณในโครงการจำนวนกว่า 5 พันล้านเหรียญ มาจากบัญชีที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ภายใต้โครงการของรัฐฯ
• ทางการสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรชาวเวเนซูลาจำนวน 3 คน และบริษัทอีก 20 บริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซูเอลา ภายใต้ข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งยาเสพติดข้ามประเทศ ขณะที่นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้นานาประเทศร่วมกันกดดันรัฐบาลเวเนซูเอลามากยิ่งขึ้น
• ทางการจีนกำหนดให้ท่าเรือขนส่งหลักของประเทศมีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าประเภทผลไม้แอปเปิ้ลและท่อนซุงจากสหรัฐฯที่คุมเข้มยิ่งขึ้น โดยหากตรวจสอบพบว่าสินค้ามีเชื้อโรคหรือเน่าเสีย ให้ดำเนินการส่งกลับหรือทำลายทิ้งโดยทันที
อย่างไรก็ดี ในมาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯในช่วงต้น จีนได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 128 รายการ ซึ่งประกอบไปด้วยผลไม้ในช่วงต้นเดือนที่แล้ว
• นางอังเกลาร์ แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี แสดงความตองการให้ทางภาคธนาคารยุโรปมีการปรับลดความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดการดำเนินการเป็นรูปแบบเดียวกัน พร้อมระบุว่า การช่วยเหลือทางการเงินของยูโรโซนควรมีอยู่ต่อไปภายใต้การควบคุมของทางรัฐสภา
• รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิหร่านประกาศว่า ทางการอิหร่านจะไม่ยอมยกเลิกการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แม้สหรัฐฯได้ข่มขู่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญานิวเคลียร์ที่ลงนามในปี 2015 ก็ตาม โดยทางอิหร่านยังคงมองว่าสนธิสัญญายังคงมีผลประโยชน์ต่อตนเองอยู่ ตราบใดที่พวกเขายังค้าขายน้ำมันได้
ทั้งนี้ ทางนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ข่มขู่จะถอนสหรัฐฯออกจากสนธิสัญญานิวเคลียร์กับอิหร่าน หลังจากที่สนธิสัญญาจะหมดอายุลงในวันที่ 12 พ.ค. นี้ เว้นแต่ว่า บรรดาประเทศพันธมิตรในยุโรปจะยินยอมแก้ไขสนธิสัญญาที่นายทรัมป์มองว่ายัง “บกพร่อง”