ทีมนักวิเคราะห์จาก GFMS ประจำ Thomson Reuters ระบุในรายงานผลสำรวจ Gold Survey ปี 2018 โดยระบุว่า ปีนี้ตลาดมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก จึงขับเคลื่อนการลงทุนในลักษณะเป็นสภาวะ Risk-off และเป็นการเอื้อประโยชน์ครั้งใหญ่ต่อราคาทองคำ
ราคาทองคำจะมีราคาเฉลี่ยในปีนี้บริเวณ 1,360 เหรียญ และมีโอกาสจะทะยานขึ้นไปบริเวณ 1,500 เหรียญได้จากภาวะความเสี่ยงทางการเมือง โดยภาพรวมส่วนใหญ่มาจากภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองของนายทรัมป์, ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และการเจรจา Brexit ที่ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนทองคำปีนี้
หากเกิดความเสี่ยงทางการเมืองใดๆเพิ่มขึ้น ก็อาจเห็นราคาทองคำปีนี้ทำราคาขึ้นในระดับที่ดีที่สุดในรอบ 5 ปี และนี่ดูจะเป็นสัญญาณที่ดีของนักลงทุนทองคำ ที่ไม่ได้เห็นราคาทองคำใกล้ระดับ 1,500 เหรียญมานับตั้งแต่ปี 2013
นอกจากนี้ ภาวะความเสี่ยงทางการเมือง ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยให้มีการเข้าซื้อกองทุน ETFs กลับได้ดีเช่นเดียวกับการลงทุนรายย่อย โดยคาดว่าความอุปสงค์ในกองทุน ETF จะปรับตัวขึ้นได้ที่ระดับ 350 ตันในปีนี้ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นได้ปานกลางในปี 2017 ที่ระดับ 177 ตัน ขณะที่คาดการณ์เกี่ยวกับการลงทุนรายย่อยในปีนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ร่วงลงต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยตลาดได้รับอานิสงส์หลักจากทองคำแท่ง และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มนักลงทุน ควบคู่กับกระแสคาดการณ์ที่ว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้น
ประเด็นใหญ่ต่อตลาดปีนี้
การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในลักษณะสะสมพลังอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อตลาดทองคำปีนี้ โดยจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นมีผลตอบทนที่แข็งแกร่งในปีนี้ และดูจะเกิดภาวะสะสมพลังในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และตลาดน่าจะยังเคลื่อนไหวระดับสูงอยู่ จึงอาจเห็นตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากและก็มีโอกาสปรับตัวลงได้อย่างรวดเร็วมากเช่นกัน กรณีภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ เราอาจเห็นตลาดหุ้นยังเคลื่อนไหวในลักษณะสะสมพลังต่อ และจะทำให้ทองคำได้รับอานิสงส์จากสภาวะ Risk-off
ความตึงเครียดทางการเมือง!
ประเด็นใหญ่ที่เพิ่งผ่านพ้นไปคือกรณีข้อตกลงของอิหร่าน ซึ่งหากมีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้นก็มีแนวโน้มจะทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น ซึ่งปัญหาอื่นๆที่จะตามมาในอีก 6 เดือนข้างหน้าก็อาจเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนราคาทองคำได้
GFMS Projects ระบุเพิ่มเติมว่า กรณีการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจำนวน 3 ครั้งในปีนี้ อาจกดดันทองคำในภาวะขาลง แต่หากมีความไม่แน่นอนเพียงพอที่ส่งผลต่อตลาดการเงินทั่วโลกเราก็อาจเห็นทองคำได้รับแรงหนุนดังกล่าวให้ปรับตัวขึ้นได้ และจุดสำคัญที่ต้องจับตาคือ ยังไม่มีแนวโน้มที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 1,300 เหรียญในปีนี้ เนื่องจากปริมาณความต้องการทองคำกลับมาเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเอเชีย
ขณะที่ธนาคารกลางจีน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัจจัยหลักต่อภาวะขาขึ้นของทองคำในปีนี้ และถูกคาดว่าจะมีแรงเข้าซื้อทองคำและทำให้ภาคส่วนต่างๆมีความต้องการเพิ่มขึ้นมากกว่า 400 ตัน แต่หากจีนไม่เป็นไปตามคาด ก็ให้จับตาไปยังแรงซื้อทองคำในรัสเซีย ที่ดูจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกต่อทองคำเช่นกัน
ประเด็นสำคัญช่วงปลายปี
ปริมาณความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น 10% ในปีนี่ผ่านมา โดยมีการฟื้นตัวได้ 13% ในกลุ่มจิวเวลรี และ 4% ในภาคอุตสาหกรรม และบรรดาธนาคารกลางต่างๆเข้าถือครองเพิ่มขึ้น 36% ขณะที่ ETF มีอุปสงค์ทองคำที่ระดับ 177 ตัน
แต่ปีที่แล้วกลุ่มการผลิตในเหมืองลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 โดยร่วงลงไป 5 ตันสู่ระดับ 3,247 ตัน และปีนี้ ดูเหมือนปริมาณดังกล่าวจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์บริเวณ 3,265 ตัน
ที่มา: Kitco