· ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับอ่อนตัวลง ท่ามกลางการฟื้นตัวของตลาดหุ้น หลังจากที่ดัชนี CPI เดือนเม.ย. ของสหรัฐฯออกมาแย่กว่าที่คาด จึงช่วยลดมุมมองโอกาสที่เฟดจะทำการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ในปีนี้
· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ค่าเงินเยน และค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ ขณะที่ตลาดหุ้นปรับขึ้นหลังข้อมูลเงินเฟ้อออกมาแย่กว่าที่คาดจึงลดมุมมองของตลาดที่คาดว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้จำนวน 4 ครั้งในปีนี้ โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมาทรงตัวบริเวณ 92.65 จุด หลังจากที่ขึ้นไปทำ High สัปดาห์นี้บริเวณ 93.42 จุด
· ค่าเงินยูโรได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ โดยปรับแข็งค่าขึ้น 0.6% สู่ระดับ 1.1920 ดอลลาร์/ยูโร ทางด้านค่าเงินเยนแข็งค่าลงมา 0.3% ที่ระดับ 109.37 เยน/ดอลลาร์
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10% อ่อนตัวลงมาหลังจากที่ยืนเหนือ 3% ในคืนวันพุธ โดยกลับลงมาทรงตัวที่ระดับ 2.964%
· กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผย ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ออกมาแย่กว่าคาดสู่ระดับ 0.2% จากเดิมที่ระดับ 0.3% ในเดือนก่อนหน้า ท่ามกลางราคาด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นปานกลาง จึงบดบังการเพิ่มขึ้นของราคาแก๊สโซลีนและค่าเช่าที่อยู่อาศัย ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน (Core CPI) ก็ออกมาแย่กว่าที่คาดแตะระดับ 0.1% จากเดิมที่ระดับ 0.2%
· ค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่าลงทำระดับต่ำสุดใหม่รอบ 4 เดือน เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ หรือบีโออี ตัดสินใจคงดอกเบี้ยตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปีนี้และปีหน้า
โดยก่อนทราบผลประชุมค่าเงินปอนด์ทรงตัวที่ระดับ 1.3618 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนจะร่วงลงมาบริเวณ 1.3521 ดอลลาร์/ปอนด์ และปรับตัวลงต่อทำระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือนบริเวณ 1.3474 ดอลลาร์/ปอนด์
· นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการบีโออี กล่าวว่า สมาชิกบีโออีตัดสินใจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% พร้อมกล่าวย้ำถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก และเงินเฟ้อดูจะอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า จึงทำให้บีโออียังคงดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจต่อ พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2018 สู่ระดับ 1.4% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.8% และทำให้นักลงทุนเทขายค่าเงินปอนด์ รวมทั้งลดมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยของบีโออีในปีนี้ลงจากโอกาส 87% เหลือเพียง 50%เท่านั้น
· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยกำหนดการเข้าพบกับ นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในวันที่ 12 มิ.ย. ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นการพบกันของหน้าประวัติศาสตร์ระหว่าง 2 ผู้นำประเทศมหาอำนาจเกี่ยวกับประเด็นโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
นอกจากนี้ นายทรัมป์ ยังกล่าวแสดงความคาดหวังเป็นอย่างสูงว่าการพบกันในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเกี่ยวกับการยับยั้งความสามารถในการดำเนินการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งนายทรัมป์เผยกำหนดการประชุมในเดือนหน้า หลังจากที่เกาหลีเหนือได้ทำการปล่อยนักโทษชาวสหรัฐฯ 3 รายกลับสู่ประเทศ
· นายไมค์ ปอมเปโอ เลขาธิการกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ยืนยันจะมีการโน้มน้าวให้บรรดาประเทศพันธมิตรในฝั่งยุโรป ร่วมมือกันกดดันให้อิหร่านยอมเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธอีกครั้ง
· ขณะที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯมีความหวังว่า การออกนโยบายคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านจะช่วยกดดันให้อิหร่านยอมพิจารณาที่จะเจรจากับสหรัฐฯและประเทศพันธมิตรอีกครั้ง
· เมื่อวานนี้ อิสราเอล กล่าวว่าได้ทำการโจมตีบริเวณใกล้จุดสำคัญด้านการขนส่งของกองกำลังทหารอิหร่านที่อยู่ในซีเรีย หลังจากที่อิหร่านทำการยิงขีปนาวุธเข้ามาบริเวณพรมแดนอิสราเอล
· นักวิเคราะห์จาก Again Capital ประเมินว่าการที่อิหร่านทำการโจมตีกองทัพอิสราเอลด้วยมิสไซล์เมื่อวานนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่าทางอิหร่านจะไม่ยอมเจรจาทางการทูตให้กับสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ก่อนหน้านี้ และยังเป็นสัญญาณว่าทางอิหร่านจะหาหนทางหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
· นายมาโคร รูบิโอ วุฒิสภาสหรัฐฯ ประกาศร่างกฎหมายจำกัดการขายสินค้าเทคโนโลยีของจีนภายใต้ความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและลิขสิทธิ์ทางปัญญา รวมทั้งการเพิ่มอากรสินค้าและภาษี ซึ่งการเคลื่อนไหวล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่าทางสหรัฐฯมีการอ่อนท่าทีลงจากสิ่งที่พวกเขาคิดว่าจีนมีความพยายามจะละเมินลิขสิทธิ์ทางปัญญา
· นางคริสต์เจน นีลสัน เลขาธิการประจำกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเธอกำลังมีความคิดที่จะลาออกจากตำแหน่ง หลังถูกตำหนิอย่างหนักโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าสาเหตุที่สหรัฐฯไม่สามารถรักษาความมั่นคงบริเวณชายแดนของสหรัฐฯได้เป็นความผิดของเธอ ในที่ประชุมของรัฐสภาเมื่อคืนที่ผ่านมา
· ค่ำคืนนี้จะมีการกล่าวถ้อยแถลงของ นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบีในช่วงเวลา 20.15น. ตามเวลาไทย โดยถ้อยแถลงล่าสุดของเขาในช่วงปลายเดือนที่แล้วระบุถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 แต่มองว่าน่าจะมาจากปัจจัยที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น และในวันนี้ก็คาดว่าต้องจับตาว่าเขามีความกังวลเพิ่มขึ้นต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือยังมองว่าเป็นเพียงปัจจัยเพียงชั่วคราวอยู่ ซึ่งหากเขากล่าวถึงมุมมองเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อ ก็จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน
· ราคาน้ำมันดิบยังคงปิดในระดับสูง จากนักลงทุนที่กำลังประเมินความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหา Flow น้ำมันจากอิหร่าน หลังจากเจอมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดยังกังวลต่อการผลิตน้ำมันในเวนเนซูเอล่า และสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวลดลง
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 26 เซนต์ คิดเป็น +0.3% ที่ระดับ 77.47 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 78 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสดนับตั้งแต่ พ.ย. 2014 ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 22 เซนต์ ที่ระดับ 71.36 เหรียญ
· รายงานจากกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐฯเผย ปริมาณการขุดเจาะน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นบริเวณอ่าวเม็กซิโกทางฝั่งตะวันออก จะเป็นการรบกวนการทดสอบอาวุธหรืออุปกรณ์ของกองทัพสหรัฐฯ จนกว่าภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการออกมาตรการเข้ามาควบคุมการขุดเจาะน้ำมันในจุดนี้
โดยในรายงานยังระบุอีกว่า “หากปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเคลื่อนทัพทหาร ซึ่งรวมไปถึงกิจกรรมและการฝึกกำลังพลที่อาจดำเนินการได้ยากลำบากมากขึ้น”
· การเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียเมื่อวานนี้ ผลออกมาเป็นชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านของนายมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นที่ผิดคาดการณ์ของหลายฝ่ายๆ ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า นายมหาเธร์ น่าจะมีการเจรจากับทางการจีนใหม่อีกครั้ง เกี่ยวกับนโยบายถนนสายไหมของจีน ซึ่งตัวนายมหาเธร์ ได้ออกมาระบุว่า เขาไม่ได้ต่อต้านนโยบายดังกล่าว เพียงแต่ไม่ต้องการให้มีจำนวนเรือรบเพิ่มมากขึ้นในน่านน้ำของมาเลเซีย