· ดัชนีดาวโจนส์ปิด -0.24% ที่ระดับ 24,753.09 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด -0.24% ที่ระดับ 2,721.33 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +0.13% ที่ระดับ 7,433.85 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปรับตัวลงในคืนวันศุกร์ เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันที่ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวลงตาม แต่การปรับตัวลงก็เป็นไปอย่างจำกัด เพราะตลาดยังได้รับอานิสงส์จาก การปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มผู้ผลิตชิพ
สำหรับช่วงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นได้ 0.2% ขณะที่ดัชนี S&P500 ขยับขึ้นได้ 0.3% และดัชนี Nadaq ปรับตัวสูงขึ้น 1.1%
· รายงานจาก Thomson Reuters ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯถูกคาดการณ์ว่าระดับผลประกอบการของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (สินค้าจำเป็น (Consumer Staples)) ปีนี้จะขยายตัวได้ 11.4% โดยลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนเล็กน้อยจากระดับ 11.6% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มหลักของ S&P500
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานในเช้าวันนี้ ตามการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบที่ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานในภูมิภาคให้ปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนจับตาไปยังท่าทีการจะจัดเจรจาร่วมกันของสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ โดยดัชนีนิกเกอิเปิด +0.32% ขณะที่ดัชนีKospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.66%
· นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์นี้ ไว้ระหว่าง 31.70-32.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยจุดสนใจของตลาดในประเทศ น่าจะอยู่ที่ข้อมูลเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของไทย ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร การจ้างงานภาคเอกชน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค. รายได้-รายจ่ายส่วนบุคคล และดัชนีราคา Core PCE Price Index เดือนเม.ย. ดัชนีราคาบ้านเดือนมี.ค. และข้อมูลจีดีพีประจำไตรมาส 1/2561 (Prelim.) นอกจากนี้ นักลงทุนอาจรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน