MTS Help Center

โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.36% บริเวณ 93.87 จุด หลังจากแข็งค่าขึ้นไปทะรดับสูงสุดในรอบปี ที่ 94.21 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยค่าเงินได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการประกาศยกเลิกการประชุมร่วมกันระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าของโอกาสที่ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศจะกลับมาจัดการประชุมขึ้นได้อีกครั้ง

ด้านค่าเงินเยน ปรับแข็งค่าลง 0.02% บริเวณ 109.40 เยน/ดอลลาร์ ท่ามกลางแรงเข้าซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวลในสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ

·       ตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพับธบัตรอิตาลี รวมถึงค่าเงินยูโรต่างปรับตัวสูงขึ้น หลังนายเซอร์จิโอ แมตตาเรลลา ประธานาธิบดีอิตาลี ปฏิเสธนายเปาโล ซาโวนา ไม่ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อแสดงจุดยืนว่านายเซอร์จิโอยังคงเชื่อมั่นสกุลเงินยูโร ส่งผลให้ความพยายามในการก่อตั้งพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้านในอิตาลีต้องประสบความล้มเหลว

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอิตาลีมีแผนที่จะปรึกษาอดีตเจ้าหน้าที่จากองค์กร IMF เพื่อหาวิธีช่วยเหลือเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะที่ระบบการปกครองยังคงปั่นป่วน ที่อาจส่งผลให้อิตาลีจำเป็นต้องมีการเลือกตั้งก่อนวาระอีกครั้ง

โดยค่าเงินยูโร ปรับแข็งค่าขึ้น 0.6% บริเวณ 1.1728 ดอลลาร์/ยูโร ขึ้นมายืนเหนือจากระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนครึ่ง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอิตาลีอายุ 10 ปี ปรับลดลง 0.10% บริเวณ 2.35%

·       รายงานจาก Reuters ระบุว่า เรือบรบบรรทุกขีปนาวุธสัญชาติสหรัฐฯ จำนวน 2 ลำ ได้เคลื่อนตัวใกล้บริเวณหมู่เกาะของจีน ในน่านน้ำของทะเลจีนใต้ ซึ่งอาจเป็นการทำให้ทางการจีนไม่พึงพอใจต่อการเคลื่อนไหวดังกล่าว ขณะที่หลายๆฝ่ายกำลังพยายามหาหนทางให้การประชุมระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือสามารถเกิดขึ้นได้

·       นักวิจัยทางการตลาดอาวุโสชี้ เฟดกำลังพึ่งพาข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบแบบผิดๆจาก Social Media ซึ่งอาจทำให้แนวทางการนโยบายการเงินของเฟดผิดเพี้ยนไป

·       ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง เนื่องจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซียกล่าวว่าอาจเพิ่มปริมาณการผลิต รวมทั้งปริมาณการผลิตสหรัฐที่เพิ่มขึ้นไม่ส่งสัญญาณว่าจะชะลอตัวลง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลง 1% ที่ระดับ 75.70 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 1.6% ที่ระดับ 66.78 เหรียญ/บาร์เรล

โดยภาพรวมราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI ร่วงลงไปแล้ว 6% และ 8.3% ตามลำดับ นับตั้งแต่ที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดเมื่อต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา