• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2561

    4 มิถุนายน 2561 | Economic News
 

·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นหลังทราบข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของความเสี่ยงทางการเมืองที่น่าจะเป็นตัวกดดันทิศทางค่าเงินดอลลาร์ระยะสั้นๆได้


ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 0.2ในคืนวันศุกร์ ที่ระดับ 94.171 จุด โดยที่ข้อมูลเศรษฐกิจวันศุกร์ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯและค่าแรงในเดือนพ.ค. ต่างก็มีการปรับตัวสูงขึ้น จึงยิ่งหนุนโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนนี้ รวมไปถึงจำนวนการขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้


ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นมา 0.15ที่ระดับ 109.66 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมาประมาณ 0.3ที่ระดับ 1.1665 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วลงมาทำระดับต่ำสุดรอบ 10 เดือนบริเวณ 1.1510 ดอลลาร์/ยูโร

·         อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวขึ้นในคืนวันศุกร์ โดยมีระดับการขยายตัวรายวันที่เพิ่มมากที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์ ตอบรับกับข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ และโอกาสที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้อีกอย่างน้อย 2 ครั้งปีนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ค. บริเวณ 2.905จากระดับ 2.822ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับขึ้นแตะ 3.058% จากระดับ 2.985% และอัตราผลตอบแทนอายุ 2 ปี ปรับขึ้น 2.479จาก 2.411%

·         ผลการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯในเดือนพ.ค. ดีขึ้นสู่ระดับ 223,000 ตำแหน่ง หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 64,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานของสหรัฐฯร่วงลงทำระดับต่ำสุดรอบ 18 ปีบริเวณ 3.8จึงยังบ่งชี้ถึงภาวะความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ประกอบกับอัตราค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจึงอาจเป็นปัจจัยที่ชี้ถึงเงินเฟ้อ และอาจทำให้เฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ พร้อมกับโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ แต่ก็อาจจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Overheating ทางเศรษฐกิจ

·         ข้อมูลค่าใช้จ่ายภาคการก่อสร้างของสหรัฐฯรีบาวน์กลับขึ้นเกินคาดในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 1.8% ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2016 ขณะที่ข้อมูลเดือนมี.ค. ปรับทบทวนขึ้นมาบริเวณ 1.7% ท่ามกลางการลงทุนในภาคเอกชนปรับตัวขึ้นมากทีสุดนับตั้งแต่ปี 2012

·         รายงานจาก รอยเตอร์ส ชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้จำนวน 4 ครั้งในปีนี้ หลังทราบข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ และอีกครั้งในเดือนก.ย. และล่าสุดมีรายงานว่า มีโอกาส 36จาก 32ที่จะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. อีกครั้ง รวมทั้งน่าจะสามารถขึ้นได้ต่อในปีหน้า

·         วันเสาร์ที่ผ่านมา นายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯต้องการให้การเจรจากับจีนเกิดผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มกำลังการเข้าซื้อสินค้าของสหรัฐฯ

·         จีนกล่าวเตือนสหรัฐฯว่า ข้อตกลงทางการค้าและภาคธุรกิจใดๆร่วมกันระหว่างสองประเทศอาจถือเป็นโมฆะได้ หากสหรัฐฯจะเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีมาตรการทางการค้าต่างๆ


·         หลังจากที่มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯต่อกลุ่มผู้ส่งออกโลหะของอียูมีผลบังคับใช้ ทางอียูกำลังพิจารณา 2 ทางเลือกในการตัดสินใจว่าจะหามาตรการตอบโต้กลับหรือหาทางเจรจาร่วมกับสหรัฐฯอีกครั้


อย่างไรก็ดี ชาติสมาชิกของอียูมีแผนจะกำหนดภาษีสำหรับกลุ่มผู้ส่งออกสหรัฐฯจำนวน 25% หรือคิดเป็นมูลค่า 2.8 พันล้านยูโร (3.3 พันล้านเหรียญ) อันประกอบไปด้วย แอลกอฮอล์ และกลุ่มมอเตอร์ไซต์ เพื่อให้เกิดการ “ถ่วงดุล” กัน กับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าโลหะมีค่าของอียูที่คิดเป็นมูลค่า 6.4 พันล้านเหรียญซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 มิ.ย. ขณะที่แผน 2 จะเริ่มในช่วงเดือนมี.ค. ปี 2021 แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ต้องรอการตัดสินใจร่วมกันของชาติสมาชิกอียู 28 ประเทศ


·         กลุ่มรัฐมนตรีการคลังที่มีความใกล้ชิดหรือเป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯแสดงความไม่พึงพอใจต่อทีมบริหารของนายทรัมป์ ในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเป็นประเด็นข้อถกเถียงอย่างรุนแรงสำหรับการประชุม G7 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ (วันศุกร์) หลังจากวันที่ 1 มิ.ย. แผนยกเว้นการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อประเทศเม็กซิโก แคนาดา และอียูหมดอายุลง

 รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแคนาดา แสดงความกังวลต่อการดำเนินมาตรการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯว่าจะไม่เอื้อต่อเศรษฐกิจแคนาดา แต่จะสร้างผลเสีย และ 6 ประเทศที่ได้รับผลกระทบน่าจะพุ่งเป้าไปที่นายมนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ


·         รัฐมนตรีกระทรวงการค้าอังกฤษ เผยว่า อังกฤษจะไม่ทำการลงนามใดๆต่อข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ หากไม่สร้างผลประโยชน์ใดๆให้แก่อังกฤษ 


ทั้งนี้ อังกฤษมีการพูดคุยกับสหรัฐฯเกี่ยวกับแนวโน้มของข้อตกลงการค้า ท่ามกลางการเตรียมตัวออกจากอียู ซึ่งเป็นคู่ค้าขนาดใหญ่ที่สุดในปีหน้า

 

·         รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษ เผย อังกฤษอาจมีข้อเสนอที่ดีสำหรับนโยบาย Brexit สำหรับการประชุมกับผู้นำอียูในเดือนนี้ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับในเชิงบวก

·         นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจ กล่าวว่า ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดยังคงอ่อนตัว แม้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ทรงตัว จึงมีแนวโน้มว่าบีโอเจจะยังคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี นายคุโรดะ แสดงความกังวลต่อความรุนแรงของข้อขัดแย้งทางการค้าทั่วโลก แต่ยังคงกล่าวย้ำว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นขายตัวได้ปานกลาง

·         รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะจัดประชุมร่วมกับ นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในวันที่ 12 มิ.ย. ณ ประเทศสิงคโปร์ หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

·         นายจูเซปเป้ คอนติ ศาสตราจารย์ด้านกฏหมายวัย 53 ปี เข้าพีธีสาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประจำพรรคฝ่ายค้านของอิตาลีอย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกของอิตาลีที่มีพรรคฝ่ายค้านขึ้นมาบริหารประเทศ โดยมีแนวโน้มที่รัฐบาลจะออกนโยบายปฏิรูประบบของสหภาพยุโรปและการอพยพ รวมถึงนโยบายปรับลดภาษีและเพิ่มงบประมาณในด้านสวัสดิการของประชาชน

·         นายเปโดร ซานเชส นายกรัฐมนตรีสเปนคนใหม่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเสียงสนับสนุนของพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นฝ่ายเสียงข้องน้อย  เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตำแหน่งสำคัญต่างๆ โดยจะยกเว้นสมาชิกจากพรรคฝ่ายซ้ายจัดหรือพรรค Podemos โดยตั้งเป้าหมายให้รัฐบาลชุดนี้สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้จนถึงปี 2020 หรือช่วงที่รัฐบาลหมดอายุเป็นอย่างน้อย

ทั้งนี้ นายซานเซส ได้รับจากแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากที่นายมาเรีย ลาจอย นายกรัฐมนตรีคนก่อนถูกโหวตไม่ไว้วางใจจากคดีอื้อฉาวทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่พรรคฝ่ายค้านของนายซานเชสมีที่นั่งในสภาเพียง 84 ที่นั่ง จาก 350 ที่นั่ง จึงยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเขาจะสามารถอยู่ในอำนาจได้นานแค่ไหน


ทางตัวแทนจากพรรคฝ่ายซ้ายจัด หรือ Podemos ที่ได้สนับสนุนการโหวตไม่ไว้วางใจอดีตนายกฯ ได้เปิดเผยพวกเขาต้องการที่จะมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ พร้อมเตือนนายซานเชสว่า รัฐบาลที่มาจากฝ่ายเสียงข้างน้อย จะมีความแน่นอนไม่นอนยิ่งกว่ารับบาลชุดก่อน


·         ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงในคืนวันศุกร์ หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯยังคงกล่าวย้ำถึงความต้องการเห็นค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า รวมถึงการที่นายทรัมป์ กล่าวกับแคนาดา และอียูในการจะทำการปรับลดยอดเกินดุลการค้าระหว่างกันมากขึ้น หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับเม็กซิโก ในการที่สหรัฐฯจะทำการเรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม

น้ำมันดิบ WTI ปรับลง 48 เซนต์ ที่ระดับ 66.56 เหรียญ/บาร์เรล และภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปรับอ่อนตัวลงมา 1.9ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 91 เซนต์ ที่ระดับ 76.65 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วขยับขึ้นได้ประมาณ 0.3%


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com